[SF] LUCKY #kacchako #MHA #BNHA

[SF] LUCKY #kacchako #MHA #BNHA

LUCKY

Katsuki x Ochako

 

“บาคุโกคุง ทรงผมไม่เรียบร้อย ชอบใส่กางเกงหลุดตูด และสวมรองเท้าเหยียบส้น”

 

“ห๊า!?”

 

เด็กสาวตัวเล็กเอ่ยเสียงฉะฉานพลางจดอะไรบางอย่างลงบนสมุดที่เธอถืออยู่ เจ้าของชื่อเลิกคิ้วพลางก้มมองเธอที่ตัวเล็กกว่าร่วมยี่สิบเซนติเมตรที่มีนามว่า อุรารากะ โอชาโกะ

 

“….ความประพฤติของเธอเข้าข่ายผิดระเบียบของโรงเรียนนะ” โอชาโกะย้ำพลางเงยหน้ามองหนุ่มผมทรงสัปปะรดที่มีเอกลักษณ์คือชอบอารมณ์เสียอยู่ตลอดเวลา ไม่ต้องเดาให้ยากเลยว่าอะไรจะเกิดขึ้นหลังจากที่เด็กสาวพูดประโยคนั้นจบ

 

ปึง!!!

 

“….เพิ่มอีกข้อหาคือทำลายข้าวของของโรงเรียนให้เกิดความเสียหาย”

 

โอชาโกะจดบันทึกลงในสมุดเล่มเดิม ก่อนจะเดินปลีกตัวจากจุดนั้นแล้วไปสำรวจเพื่อนคนอื่นต่อ

 

“ยัยนั่นทำบ้าอะไร!!”

 

บาคุโก คัตสึกิ ถึงแม้จะได้ชื่อว่าเป็นอันธพาล(?) ประจำโรงเรียนมัธยมปลายเอยู แต่เขาก็ไม่เคยทำร้ายผู้หญิง เขาไม่ได้ยืนหยัดหรือยืดอกว่าตนเป็นสุภาพบุรุษเลยแม้แต่น้อย แต่เป็นเพราะไม่ค่อยมีใครกล้าเข้าใกล้เขาเลยมากกว่า แต่กับเพื่อนร่วมห้องเรียนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวด้วยกันมาแล้วเทอมกว่าๆ ก็พอจะรู้ตัวตนที่แท้จริงของคัตสึกิเขาล่ะ แท้ที่จริงแล้วก็เป็นพวกที่ชอบโหวกเหวกโวยวายไปเรื่อย จริง ๆ หมอนี่ไม่มีพิษมีภัยอะไรหรอก

 

“ใจเย็นน่าบาคุโก นายก็รู้ว่าอุรารากะเพิ่งถูกรุ่นพี่ชวนให้เป็นกรรมการนักเรียน ยัยนั่นก็เห่อทำหน้าที่ไปอย่างนั้นแหละ ไม่มีอะไรหรอกน่า” คิริชิม่าเอ่ยพลางกลั้นขำไปด้วย

 

“ถ้านักเรียนเรียบร้อยเกินไป กรรมการก็ไม่มีงานทำใช่ไหมล่ะ นายก็ผิดระเบียบให้เขาหน่อยน่า เขาจะได้มีงานทำยังไงล่ะ!” คามินาริผิวปากร้องเป็นเพลงแต่ก็โดนฝ่ามืออรหันต์ของคนไม่สนุกด้วยป๊าบเข้าที่กระหม่อมไปหนึ่งที

 

ตอนนั้นคัตสึกิไม่ได้สนใจอะไรมากนัก แม้จะสร้างความรำคาญนิดหน่อย แต่ก็ไม่อะไร จนกระทั่งโอชาโกะเดินมาจับผิดเขาทุกวี่ทุกวัน จนเส้นความอดทนมันเกือบจะขาดสะบั้นลงแล้วนั่นเอง

 

“เธอทำบ้าอะไรนักหนาวะ!!”

 

โอชาโกะสะดุ้งตกใจเล็กน้อย แต่ก็ตีสีหน้าเรียบเฉยไม่มีท่าทีเกรงกลัวอีกฝ่ายเลยแม้แต่นิดแล้วตอบกลับอีกฝ่ายไป

 

“ก็เธอแต่งตัวไม่เรียบร้อย หัดหวีผมและแต่งตัวให้เรียบร้อยซะบ้างสิ!!”

 

“แล้วมันหนักส่วนไหนของเธอวะ!!!”

 

คัตสึกิลุกขึ้นจากเก้าอี้ยืนประจันหน้ากับกรรมการสาว ด้วยเสียงที่เริ่มดังขึ้นแล้วนั้น จึงเรียกสายตาจากเพื่อนร่วมห้องให้หันมามองเหตุการณ์นี้เป็นตาเดียว

 

“มันไม่หนักฉันหรอก แต่เธอควรทำตามกฎระเบียบของโรงเรียนสิ!!”

 

“แล้วถ้าฉันไม่ทำ มันจะเกิดอะไรขึ้นกับโรงเรียนนี้วะ มันจะถล่มลงมาทับเธอตายหรือไง!!!”

 

โอชาโกะเงียบไปอึดใจ สมองกำลังประมวลผลเพื่อหาวิธีการให้อีกฝ่ายยอมปฏิบัติตัวให้เรียบร้อยตามกฎระเบียบ หากเพื่อนร่วมห้องของเธอไม่เรียบร้อยซะเอง ถือว่าหน้าที่กรรมการนักเรียนของเธอบกพร่องจนถึงขีดสุด อย่างน้อยแค่เกลี่ยกล่อมให้อีกฝ่ายยอมประพฤติตัวดีเท่านั้น ต่อให้ทำอะไรเธอก็ยอมล่ะ

 

“….บาคุโกคุง ที่เธอไม่ยอมทำตัวให้เรียบร้อย หรือว่า……”

 

โอชาโกะแกล้งตีสีหน้ามีเลสนัย เรียกความสนใจจากอีกฝ่ายและเพื่อนร่วมห้องทันที

 

“…หรือว่าอะไร!!!!!”

 

“…..หรือว่าบาคุโกคุงไม่เคยมีแฟนมาก่อนเลย?”

 

“ห๊ะ!?”

 

เพื่อนร่วมห้องเริ่มส่งเสียงฮือฮา โอชาโกะหันไปถามความเห็นจากอิซุกุ ที่เป็นเพื่อนสมัยเด็กของคัตสึกิทันทีเพื่อความแน่ใจ อิซุกุนั่งตัวสั่นงกเงิ่น เขาทำหน้าตาเลิ่กลั่กไม่รู้จะส่ายหน้าหรือพยักหน้าดี

 

“…ใช่มั้ยล่ะ!? เพราะเธอทำตัวแบบนี้มาตลอด ก็เลยไม่มีผู้หญิงคนไหนกล้ามาคุยด้วยเลยสักคนเดียว เธอก็เลยไม่มีแฟนมาก่อนเลยใช่มั้ย”

 

โอชาโกะพูดย้ำอีกครั้งเพื่อให้อีกฝ่ายจนตรอก ทั้งที่ในใจก็ไม่แน่ใจหรอกว่าอีกฝ่ายจะเคยมีแฟนหรือเปล่า แต่เปอร์เซนต์ไม่เคยน่าจะมีมากกว่า ถึงจะหน้าแตก แต่หากยั่วให้อีกฝ่ายจนตรอกได้ก็ต้องยอมล่ะ

 

“แล้วเรื่องนั้นกับเรื่องนี้มันเกี่ยวกันตรงไหนไม่ทราบ ห๊ะ!!!!!”

 

โอชาโกะยิ้มมุมปาก ท่าทีของคัตสึกิเริ่มเข้าทางเธอเรียบร้อยแล้ว ท่าทางที่ดูลนลานและไม่ยอมรับหรือปฏิเสธอะไรในเรื่องนี้ แต่กลับย้อนถามเธอด้วยคำถามแบบนี้…

 

“…เกี่ยวมากเลยล่ะ!!! เพราะพฤติกรรมของเธอเป็นแบบนี้ เลยไม่มีผู้หญิงคนไหนกล้าคุยด้วย ไม่ว่าจะทรงผม การแต่งตัว ท่าทางและสีหน้าของเธอ ทุกอย่างล้วนแต่ทำให้ผู้หญิงทุกคนกลัวและไม่กล้าเข้าใกล้เธอทั้งนั้น!!!”

 

“ก็ถามอยู่นี่ไงว่ามันเกี่ยวกันตรงไหนละโว้ย!!!!!!!!!”

 

ปึง!

 

โต๊ะนักเรียนที่วางอยู่บริเวณนั้นล้มลงตามแรงเตะของคัตสึกิที่โมโหจนถึงขีดสุด โอชาโกะตกใจแต่พยายามปรับสีหน้าแล้วหันไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายทันทีโดยไม่สนใจเสียงห้ามปรามของสึยุจังเลย

 

“ก็เพราะไม่มีใครชอบเธอไงล่ะ ไม่มีผู้หญิงคนไหนชอบเธอหรอก เพราะเธอมีนิสัยแบบนี้!!!! ถ้ามีใครตกหลุมรักเธอจริงล่ะก็ ขอให้มาบอกฉันคนนี้เลย ถ้ามีสักคนล่ะก็ ฉันจะยอมทำตามที่เธอต้องการทุกอย่างเลย!!!”

 

โอชาโกะตะเบ็งเสียงเพื่อไม่ให้น้อยหน้าอีกฝ่าย ตอนนั้นเองจู่ ๆ คัตสึกิก็ยิ้มขึ้นมาซะอย่างนั้น แต่เป็นรอยยิ้มอันชั่วร้ายที่แม้แต่เพื่อนสนิทอย่างคิริชิม่ายังต้องขนลุก

 

“หึ ได้ ถ้าเอาอย่างนั้นละก็ ภายในหนึ่งเดือนนี้ ถ้ามีใครก็ตามมาชอบฉันแม้แต่คนเดียวล่ะก็ เธอจะยอมทำตามที่ฉันต้องการทุกอย่างเลยใช่ไหม”

 

เสียงของคัตสึกิเบาลงเล็กน้อย ฟังเผิน ๆ เหมือนความโกรธจะลดลงไปแล้ว แต่หากมองใบหน้าอันชั่วร้ายของเขาตอนนี้แล้วล่ะก็ แม้แต่เพื่อนสนิทอย่างคิริชิม่าและคามินาริยังต้องถอยล่ะ

 

++++++++++++++++++++++++++++++++

 

ถึงแม้จะรับปากไปอย่างนั้น แต่โอชาโกะก็ไม่มีท่าทีกังวลใจอะไรเลย เพราะเธอมั่นใจสุด ๆ นั่นเอง ว่าต่อให้อีกฝ่ายไปลงทุนขอร้องผู้หญิงคนไหนมาแกล้งเป็นแฟนเพื่อเล่นละครตบตาล่ะก็ ไม่มีทางสำเร็จแน่นอน เพราะไม่มีใครกล้าไงล่ะ! คิดได้ดังนั้นเธอก็เดินกลับบ้านไปอย่างมีความสุข

 

เช้าวันต่อมา โอชาโกะเดินถือสมุดตรวจไปรอบโรงเรียน ดุคนนั้นชมคนนี้ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเดินมาถึงม้านั่งที่คัตสึกิ และนักเรียนชายร่วมห้องนั่งคุยกันอยู่ พวกเขาโบกมือทักทายเธอพลางเหลือบมองท่าทีของคัตสึกิไปด้วย

 

“วันนี้คาบพละเธอทำได้เยี่ยมไปเลยล่ะมิเนตะคุง!”

 

โอชาโกะเอ่ยปากชมเพื่อนร่วมห้องที่ตัวเล็กที่สุดที่นั่งรวมกลุ่มอยู่ที่นั่นด้วย มิเนตะบิดตัวไปมาแก้เขิน ก่อนจะลุกขึ้นเดินเข้าไปหาโอชาโกะทันที แต่วินาทีนั้นเองเจ้าตัวก็โดนเตะปลิวไปอีกทาง ก่อนที่ว่างตรงหน้าโอชาโกะจะมีคนอื่นเข้ามายืนแทนที่

 

คัตสึกินั่นเอง

 

โอชาโกะตกใจเผลอก้าวถอยหลังไปนิดหน่อย แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย ก็แปลกใจเข้าไปใหญ่ เพราะคัตสึกิไม่มีท่าทีโมโหหรืออะไรเลย แค่ยืนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงเฉย ๆ แค่นั้น และดูเหมือนทรงผมจะเรียบร้อยขึ้นมานิดหนึ่งด้วย

 

“…เย็นนี้กลับด้วยกันไหม”

 

“เอ๋!?”

 

เหมือนทุกสรรพสิ่งที่อยู่บริเวณนั้นหยุดเคลื่อนไหว โอชาโกะอ้าปากค้าง ในขณะที่เพื่อนร่วมห้องคนอื่น ๆ ก็หยุดพฤติกรรมทั้งหมดแล้วหันมามองทั้งสองคนเป็นตาเดียว

 

“..อะ เธอ…..” โอชาโกะยังตกใจไม่หาย แต่แล้วสมองก็วนกลับไปนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวานที่เธอกับคัตสึกิตกลงกันไว้ ที่แท้อีกฝ่ายก็กำลังพยายามทำให้เธอตกหลุมรักอยู่สินะ ฝันไปเถอะ นายไม่ใช่สเปคฉันเลยสักนิด

 

“ว่าไง จะกลับด้วยกันไหม” คัตสึกิก็เล่นละครได้แนบเนียนจนเกินไป คิ้วไม่ขมวด ไม่มีสีหน้าว่าโมโหอะไรอยู่เลยสักนิด เล่นเอาโอชาโกะเขวไปนิดหน่อย ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าอย่างรวดเร็วตอบกลับอีกฝ่ายไป

 

“เธอเป็นบ้าไปแล้วเหรอ บาคุโกคุง คิดว่าทำแบบนี้แล้วฉันจะชอบเธอหรือไง”

 

พูดจบก็สะบัดหน้าแล้วเดินหนีไปทางอื่นทันที แต่คัตสึกิไม่ได้เดินตามไปด้วย แค่ยักไหล่แล้วกลับมานั่งบนม้านั่งตามเดิม

 

“…ฉันชนะแล้ว”

 

สีหน้าเดิมของคัตสึกิกลับมาแล้ว เพื่อน ๆ แทบอยากจะเบิ้ดกระโหลกมันโทษฐานเล่นละครได้แนบเนียนเกินไป

 

“นายใจร้ายไปไหม ทำไมแกล้งยัยนั่นแบบนั้น” คิริชิม่าเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง

 

“อย่าจริงจังไปหน่อยเลยน่า คิดดูว่าเพราะใครฉันถึงลำบากขนาดนี้”

 

พูดจบก็ขยี้หัวตัวเองให้ผมกลับมารกรุงรังตามเดิม

 

“แต่ก็ไม่เห็นต้องเป็นยัยนั่นเลยนี่ นายก็ไปจีบคนอื่นให้ได้สิ ไม่ใช่ไปจีบเจ้าตัวแบบนั้น” เพื่อนหลายคนเริ่มพยักหน้าเห็นด้วย

 

“แกชอบยัยนั่นหรือไง!? แล้วฉันก็ไม่ได้ทำอะไรเลยสักนิด ไม่ได้แตะตัวด้วยซ้ำ ไอหมอนั่นต่างหากที่ตอนแรกจะเข้าไปลวนลามยัยนั่นน่ะ” พูดจบก็ชี้มือไปที่มิเนตะที่ยิ้มแหยใส่

 

“ถึงไม่ได้แตะตัว แต่ก็ถือเป็นการทำร้ายจิตใจ” โทโดโรกิที่เงียบมาตลอดเอ่ยขึ้นบ้าง

 

“ห๊ะ?” คัตสึกิเลิกคิ้ว

 

“การทำร้ายจิตใจคนอื่นถือเป็นการกระทำที่แย่ที่สุด ถ้าอุรารากะไม่ได้คิดอะไรก็ดีไป แต่ถ้าคิดขึ้นมาจริง ๆ ก็ถือว่านายเป็นได้แค่ไอกากคนหนึ่งเท่านั้น”

 

“ไอครึ่งสีนี่อยากลองดีหรือไงวะ!!!!”

 

คำพูดเตือนสติของโทโดโรกิไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด คัตสึกิยังคงคิดแบบเดิม คือต้องการเอาชนะใจอุรารากะให้ได้ เพื่อชนะ และเพื่อให้เธอทำตามที่เขาต้องการ แม้ตอนนี้จะยังคิดไม่ออกว่าอยากให้เธอทำอะไรก็ตาม

 

ทางด้านโอชาโกะที่เดินกลับบ้านด้วยความมึนงงสุดขีด หัวสมองกำลังประมวลภาพเหตุการณ์ก่อนหน้านี้อีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า แทนที่อีกฝ่ายจะไปจีบคนอื่น แต่กลับหันมาจีบเธอแบบนี้ ท่าไม่ดีแล้ว อย่าว่าแต่บาคุโกคุงเลย แม้แต่เธอก็ใช่ว่าจะเคยมีแฟนซะเมื่อไหร่ ใจเธอยอมรับเลยว่าหากปล่อยไปแบบนี้เรื่อย ๆ เธอจะโดนอีกฝ่ายปั่นหัวเข้าสักวัน และเธอจะไม่ยอมให้มันเป็นแบบนั้นแน่นอน คืนนั้นโอชาโกะนอนคิดหาวิธีแก้เผ็ดคัตสึกิทั้งคืน จนกระทั่งคิดอะไรบางอย่างออกตอนตีสี่

 

ดีล่ะ ขอให้มันได้ผลด้วยเถอะ

 

++++++++++++++++++++++++++++++++

 

วันรุ่งขึ้นโอชาโกะไปโรงเรียนสายจนได้ เป็นครั้งแรกตั้งแต่ทำหน้าที่กรรมการนักเรียนที่เธอทำผิดกฏของโรงเรียน จึงต้องยืนสำนึกผิดให้รุ่นพี่ดุเธออยู่นาน แถมยังโดนใช้ให้ทำความสะอาดห้องกรรมการอีกต่างหาก โอชาโกะก้มหน้าสำนึกผิดขณะที่โดนรุ่นพี่สาวซึ่งเป็นรองประธานนักเรียนแว้ดใส่อยู่อย่างนั้น จนกระทั่งเสียงคุ้นหูเสียงหนึ่งดังขึ้น

 

“…ไม่เห็นต้องดุขนาดนั้น”

 

คัตสึกินั่นเอง

 

“บาคุโกคุง?” โอชาโกะแปลกใจมากที่จู่ ๆ อีกฝ่ายก็โผล่มาในช่วงเวลานี้ ช่วงเวลาที่เด็กนักเรียนหลายคนน่าจะกลับบ้านไปกันหมดแล้ว แถมอีกฝ่ายที่ไม่มีชมรมด้วยแล้ว ยิ่งไม่สมควรมาอยู่ที่นี่…

 

“เธอนี่เอง อันธพาลปีหนึ่งคนดัง บาคุโกคุง” รองประธานคนสวยเอ่ยยิ้ม ๆ ก่อนจะผละจากโอชาโกะมุ่งตรงไปหาคัตสึกิทันที

 

นิ้วมือเรียวยาวไล้ไปบนเส้นผมอันยุ่งเหยิงของคัตสึกิ เจ้าตัวเหลือบมองแว่บหนึ่ง ก่อนจะสะบัดหน้าหนีแล้วเดินเข้าไปฉวยกระเป๋าเป้ที่โอชาโกะสะพายอยู่แล้วลากเธอออกจากบริเวณนั้น

 

“เอาล่ะ กลับกันเถอะ”

 

“เดี๋ยวสิ บาคุโกคุง!!?”

 

รองประธานสาวไม่ได้ไล่ตามแต่อย่างใด กลับยืนมองทั้งคู่เดินจากไปด้วยสีหน้าที่เดาอะไรไม่ได้เลย

 

++++++++++++++++++++++++++++++++

 

“หยุดก่อน บาคุโกคุง ทำแบบนี้ไม่ได้นะ ฉันต้องกลับไปทำความสะอาดห้องก่อน” โอชาโกะว่าพลางพยายามรั้งกระเป๋าไว้ แต่อีกฝ่ายแรงเยอะเหลือเกิน

 

“อย่าบ้าจี้ตามยัยนั่นเลยน่า คนเรามันจะทำความผิดเลยสักครั้งไม่ได้หรือไง”

 

“…..”

 

น้ำเสียงของคัตสึกิไม่ได้กระโชกโฮกฮากเหมือนที่เคยทำ แต่กลับคุยกับเธอด้วยเหตุผล โอชาโกะนิ่งไปอึดใจ

 

หมอนี่เริ่มเข้าแผนอีกแล้ว ได้ ฉันก็จะทำบ้าง

 

เด็กสาวตั้งสติแล้วพยายามทำตามแผนที่ตนได้คิดมาตลอดทั้งคืน ด้วยการเอื้อมมือไปแตะแขนที่อีกฝ่ายซึ่งลากกระเป๋าเธออยู่นั้นเบาๆ

 

ได้ผล คัตสึกิชะงักมือแล้วปล่อยมือออกจากกระเป๋าเธอทันที

 

โอชาโกะนึกขำอยู่ในใจ ถ้าจะรังเกียจกันขนาดนี้ยังอุตส่ายอมลงทุนมาจีบกันอีกนะ

 

“….ฉันจะกลับไปทำความสะอาด”

 

เธอหันหลังกลับไปทางเดิมเงียบ ๆ โดยไม่ทันคาดคิด คัตสึกิเดินตามหลังเธอมาด้วย

 

โอชาโกะอยู่ทำความสะอาดห้องกรรมการนักเรียนจนสะอาดเอี่ยมอ่อง โดยมีคัตสึกิช่วยนิดหน่อย(?) แต่ถึงจะไม่ได้ลงมือช่วยเต็มเม็ดเต็มหน่วยนัก แต่ก็สร้างความแปลกใจให้เธอพอสมควร ที่จริงอีกฝ่ายควรโวยวายและแสดงท่าทีรำคาญมากกว่านี้ แต่กลับไม่ใช่เลย หรือแผนการเธอจะไม่สำเร็จกันนะ?

 

“เฮ้อ เหนื่อยจังเลย ไม่คิดเลยว่าการทำความสะอาดห้องกรรมการจะเหนื่อยขนาดนี้”

 

“แล้วยังจะทำเป็นเก่ง ปล่อยฉันทำความสะอาดเถอะ ปล่อยฉันทำความสะอาดเถอะ”

 

คัตสึกิล้อเลียนก่อนจะเอื้อมมือไปช่วยโอชาโกะปิดหน้าต่างที่สูงกว่า โอชาโกะทำตัวไม่ถูกก่อนจะเอ่ยปากขอบคุณอีกฝ่ายเบา ๆ

 

“บาคุโกคุง…”

 

“อะไร”

 

“…ที่จริงเธอน่าจะกลับไปก่อน…”

 

คัตสึกิหันมามอง น่าแปลกที่โอชาโกะไม่กล้าสบตาด้วย

 

“บอกแล้วไงว่าจะกลับด้วย..”

 

โอชาโกะนิ่งไปอึดใจ พลางแอบตบหน้าตัวเองเบา ๆ เตือนสติว่านี่มันก็แค่การแสดงละคร เธอสูดลมหายใจเข้าแล้วเอื้อมมือหยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพาย

 

“งั้นก็กลับกันเถอะ!”

 

“อื้อ”

ทางกลับบ้านของทั้งคู่คนละทางกันเลย ตอนแรกโอชาโกะยืนกรานจะให้แยกทางกันแล้วต่างคนต่างกลับ แต่คัตสึกิบอกว่าจะไปส่ง แต่เนื่องจากเกรงใจพ่อและแม่ เลยบอกว่าขอส่งแค่ป้ายรถเมล์ก็พอ โอชาโกะตกลง กลับบ้านมาก็นอนคิดว่าแผนที่ตนตัดสินใจทำนั้นโอเคหรือเปล่า คิดถูกไหม หรือจะต้องแก้ไขอะไรเพิ่มอีก

 

แผนการคือหากคัตสึกิยอมลงทุนลำบากตัวเองมาเพื่อจีบเธอ หากเธอปฏิเสธไปตามปกติและหนีอีกฝ่ายซ้ำ ๆ อีกฝ่ายก็จะดูสนุกที่ได้ปั่นหัวเธอเล่นแน่นอน กลับกันหากแกล้งทำดีตอบแทนด้วย อีกฝ่ายจะรู้สึกขัดใจที่ไม่เป็นไปตามแผนการ แล้วยิ่งถ้าแกล้งทำตัวน่ารำคาญใส่เรื่อย ๆ คนความอดทนต่ำอย่างคัตสึกิจะต้องอกแตกตายระเบิดอารมณ์ออกมาและจะล้มเลิกเรื่องสัญญาหนึ่งเดือนบ้าบออะไรนั่นแน่นอน หวังว่าอีกฝ่ายความอดทนจะลดน้อยลงในเร็ววันนี้

 

++++++++++++++++++++++++++++++++

 

“อรุณสวัสดิ์ บาคุโกคุง!!!”

 

คัตสึกิเงยหน้ามอง เมื่อเห็นว่าเป็นใคร จึงถอดหูฟังที่สวมอยู่ออกแล้วพยักหน้าให้

 

“วันนี้ไม่ถือสมุดเล่มนั้นเดินตรวจโรงเรียนหรือไง” เขาถาม โอชาโกะส่ายหน้ายิ้มๆ

 

“เพราะฉันโดนทำโทษเมื่อวาน ฉันเลยโดนให้ไปทำงานอื่นแทน แต่อย่าเผลอดีใจไปล่ะ เพราะรุ่นพี่ที่จะมาตรวจเธอน่ะ โหดกว่าฉันอีกนะ!!”

 

คัตสึกิยักไหล่

 

“ก็ช่างมันสิ สำหรับฉัน ไม่มีใครโหดเท่าเธอแล้ว”

 

โอชาโกะทำหน้าบู้พลางก้มลงมองรองเท้าและชุดนักเรียนที่อีกฝ่ายสวมมาในวันนี้ ไม่เหยียบส้น ไม่ใส่กางเกงเอวต่ำจนเกินไปแล้ว แต่ถึงแม้ทรงผมจะดูยุ่งเหยิงอยู่บ้าง จะคิดว่าที่บ้านไม่มีเจลใส่ผมล่ะกัน

 

เธอเผลอยิ้มให้อีกฝ่ายก่อนจะผละไปนั่งประจำที่ของตน

 

อีดะ อิซูกุ และสึยุจังมองเธอด้วยความแปลกใจเป็นอย่างมาก ที่จริงทั้งสามคนรู้แผนการของเธออยู่แล้ว แต่ไม่คิดว่ามันจะได้ผลดีขนาดนี้

 

“อุรารากะคุงน่าทึ่งจริง ๆ ที่ปราบคนอย่างบาคุโกได้สำเร็จ” อีดะปรบมือให้

 

“เพิ่งเคยเห็นคัตจังเรียบร้อยก็ตอนนี้แหละ สุดยอดเลยอุรารากะจัง” อิซูกุมองทึ่ง

 

“เธอสองคนเหมือนเป็นแฟนกันเลยนะ” สึยุจังเอ่ยขึ้นมา โอชาโกะถึงกับปล่อยกล่องดินสอลงบนพื้น เธอก้มลงไปหยิบก่อนปฏิเสธสึยุจังพัลวัน

 

“เปล่าซะหน่อย ฟงแฟนอะไรกันล่ะ”

 

เย็นวันนั้นขณะที่โอชาโกะกำลังประชุมคณะกรรมการอยู่นั้นเอง ประตูห้องที่เปิดแง้มอยู่นั้น มีเงาของใครบางคนยืนอยู่บริเวณหน้าห้อง แค่มองแว่บเดียวก็รู้ในทันทีว่าเป็นใคร โอชาโกะถอนหายใจเล็กน้อย ไม่คิดว่าหมอนั่นจะอึดขนาดนี้ ปกติโวยวายโหวกเหวก ความอดทนต่ำขนาดที่หากมีอะไรมาขัดใจแม้แต่นิดเดียวก็จะโวยทันที แต่นี่ถึงกับปั้นสีหน้าท่าทาง อดทนได้ตั้งสองวันแบบนี้…

 

ระหว่างที่คิดอะไรเพลิน ๆ ประชุมก็จบลงโดยที่ท่อนหลังโอชาโกะตามอะไรเขาไม่ทันเลย ได้แต่พยักหน้าเออออห่อหมกไปกับพวกเขาจนกระทั่งทั้งหมดแยกย้ายกันกลับบ้าน โอชาโกะแสร้งจัดเอกสารนั่นนี่เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกับคนในชมรมคนอื่น ๆ จนกระทั่งทุกคนเดินออกไปจนหมด เธอจึงสะพายกระเป๋า สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เตรียมพร้อมรับมือกับคัตสึกิอีกครั้ง

 

ขณะที่กำลังจะเปิดประตูออกไปนั่นเอง เสียงบทสนทนาก็เรียกให้เธอหยุดและเงี่ยหูฟัง

 

“…มารออุรารากะจังเหรอ”

 

นั่นคือเสียงของรองประธานสาว รุ่นพี่มิยูกิคนที่ดุเธอเมื่อวานนั่นเอง

 

สิ้นเสียงรองประธานสาว ตอนแรกนึกว่าเสียงของคัตสึกิจะตอบอะไรกลับมาบ้าง แต่ก็เงียบ

 

“…เป็นแฟนที่ดีอะไรอย่างนี้ มารอกลับบ้านพร้อมกันทุกวันเลย น่าอิจฉาเนอะ”

 

ก็ยังไม่มีเสียงอะไรหลุดออกมาจากปากคัตสึกิ

 

คงอยากจะปฏิเสธเต็มทนสินะ โอชาโกะนึกในใจ

 

“…แต่ไม่น่าเชื่อเลยนะ ว่าสเปคเธอจะชอบเด็กผู้หญิงอย่างอุรารากะจังน่ะ ฮิฮิ ชอบแบบนั้นเหรอ?”

 

ตอนแรกโอชาโกะนึกว่าคัตสึกิจะปิดปากเงียบเหมือนเคย แต่ไม่ใช่ คราวนี้เริ่มพูดอะไรบ้างแล้ว

 

“ใช่… แล้วจะทำไมเรอะ”

 

!!!!!

 

โอชาโกะทิ้งตัวลงนั่งบนพื้น ท่าทางสับสนและแปลกใจกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูด จนกระทั่งได้ยินเสียงหัวเราะของรุ่นพี่สาวตอบกลับมา

 

“แหม เท่จังเลยนะ ฮิฮิ แต่จะเท่กว่านี้น้า ถ้าเธอหวีผมให้เรียบร้อยกว่านี้น่ะ มาสิ ในห้องน่าจะมีเจลแต่งผมอยู่นะ ซื้อมาไว้จัดการเด็กแบบเธอโดยเฉพาะเลยล่——-โอ้ย”

 

!!!!!

 

“….ไม่ได้เป็นง่อย ไม่ต้องมาจับ”

 

คัตสึกิพูดเสียงเย็น ก่อนประตูห้องชมรมจะเปิดผางออกอย่างแรง

 

“ยัยบ้า มัวทำอะไรอยู่ ฉันรออยู่นะ”

 

โอชาโกะเงยหน้ามองอีกฝ่าย แล้วจู่ ๆ หน้าก็ร้อนผ่าวขึ้นมาเสียเฉย ๆ เธอผุดลุกขึ้นยืนทันที

 

“อะ อื้อ ขอโทษนะ ฉันจัดเอกสารอยู่นิดหน่อยน่ะ”

 

คัตสึกิส่ายหน้าไปมา

 

“โอเค เสร็จเมื่อไหร่ก็บอกล่ะ”

 

“ไม่ๆ เสร็จแล้วล่ะ”

 

“งั้น…กลับกันเลยไหม”

 

โอชาโกะพยักหน้ารัว ๆ ก่อนจะเดินตามคัตสึกิออกจากห้องไป แอบโล่งอกเบา ๆ ที่บริเวณนั้นไม่มีใครยืนอยู่แล้ว เธอจึงหันมาล็อคประตูห้อง แล้วเก็บกุญแจใส่กระเป๋า

 

“…กลับคนสุดท้ายทุกวันเลยเรอะ” คัตสึกิถาม

 

“อื้อ ก็ฉันเป็นเด็กใหม่นี่นา ต้องมาคนแรก แล้วก็กลับคนสุดท้ายไง” โอชาโกะยิ้มตาหยีใส่

 

คัตสึกิเอื้อมมือมาแปะลงบนหัวโอชาโกะเบา ๆ

 

“เข้าใจแล้ว ว่าแต่ หิวไหม?”

 

เพราะมัวแต่ทำอะไรไม่ถูก เลยไม่ทันได้ยินว่าอีกฝ่ายถามอะไร คัตสึกิจึงต้องถามย้ำอีกครั้ง

 

“หิวหรือยัง?”

 

“…หะ หิวสิ อยากกินชาเขียวอ่ะ ฮันนี่โทสด้วะ”

 

ขณะที่จิตใจกำลังสับสน แผนการที่วางไว้มันก็เบียดแทรกความคิดวกวนพวกนั้นขึ้นมา จึงแหกปากร้องว่าหิวและอยากกินนั่นนี่ไปตลอดทาง แต่คัตสึกิไม่ได้มีท่าทีรำคาญหรืออะไร แค่ส่ายหัวเอือมระอาแล้วบอกว่าจะไม่เลี้ยง ให้เธอซื้อเองแค่นั้น

 

คืนนั้นโอชาโกะนอนไม่หลับอีกคืน สมองมัวแต่กรอเหตุการณ์เมื่อตอนเย็นซ้ำ ๆ ตั้งแต่ฉากที่คัตสึกิพูดเสียงเย็นชาใส่รุ่นพี่ ไปจนถึงฉากที่อีกฝ่ายแตะหัวเธอเบา ๆ

 

ตอนนั้น…

 

ทำไมนะ….

 

ทำไมต้องทำแบบนั้น ทำไมล่ะ บาคุโกคุง? อยากเอาชนะฉันขนาดนั้นเลยเหรอ

 

เธอแสดงท่าทีรังเกียจที่รุ่นพี่แตะเนื้อต้องตัวเธอ แต่เธอกลับเป็นฝ่ายแตะฉันเองแบบนี้? ไม่ดีเลยนะ ไม่ดีเลยนะแบบนั้น

 

โอชาโกะย้ำคิดย้ำทำแบบนั้นไปตลอดทั้งคืนจนผล็อยหลับไป

 

++++++++++++++++++++++++++++++++

 

โชคดีที่วันนี้เป็นวันเสาร์ โอชาโกะไม่ต้องไปโรงเรียน ความนอนดึกเมื่อคืนจึงส่งผลให้เธอตื่นสายอีกวัน แต่เมื่อพบว่ามันคือวันหยุด เธอจึงมุดตัวอยู่ในผ้าห่มผืนหนาและผล็อยหลับไปอีกครั้ง รู้สึกตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าโทรศัพท์มือถือร้องอยู่บนโต๊ะข้างเตียง

 

“ฮัลโหล” เสียงงัวเงียทักทายไป

 

“เพิ่งตื่นเรอะ!?”

 

โอชาโกะตื่นเต็มตาตอนนี้เอง เธอผุดลุกขึ้นนั่งอย่างกับติดสปริง สองตาที่เต็มไปด้วยขี้ตานั้นพยายามมองบนหน้าจอสมาร์ทโฟนที่ไม่มีชื่อสายโทรเข้า เป็นเบอร์แปลกที่ไม่รู้จักมาก่อน แต่เธอกลับจำเสียงนั้นได้

 

“บะ บาคุโกคุง…”

 

“ตกใจอะไร?”

 

“เปล่าน๊า ฉันเปล่าตกใจ แค่แปลกใจน่ะ แหะๆ”

 

“ฉันไปขอเบอร์เธอมาจากสึยุน่ะ”

 

“อ๋ออออ”

 

“รีบแต่งตัวเข้า ไปข้างนอกกัน”

 

!!!!!!!

 

และนี่คือเดทแรกของทั้งคู่….

 

วันนั้นทั้งวันโอชาโกะไม่เป็นตัวของตัวเองเลยสักนิด เธอเอาแต่ออกคำสั่งนั่นนี่เยอะแยะไปหมด ทั้งอยากไปนั่น อยากไปนี่ อยากกินนั่น อยากกินนี่ โอชาโกะมั่นใจว่าแอบเห็นคัตสึกิคิ้วกระตุกเล็กน้อย แต่ก็กลับมาปรับสีหน้าตามปกติตามเดิมแทบจะทุกครั้ง ใจจริงเธออยากทำตัวน่ารำคาญใส่อีกฝ่ายให้มากกว่านี้ แต่โดยพื้นฐานแล้วเธอเป็นคนค่อนข้างขี้เกรงใจ บางครั้งออกปากอะไรไป เธอก็เปลี่ยนใจปฏิเสธแทบจะในทันทีจนโดนอีกฝ่ายบ่นหาว่าเป็นไบโพลาห์หรือประจำเดือนมาหรือเปล่า

 

ท่าทางของคัตสึกิไม่มีโมโหอะไรเลย ครั้งหนึ่งโอชาโกะที่ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ แต่แอบมองท่าทีของอีกฝ่ายด้านหลังนั้นแปลกใจเป็นอย่างมากที่คัตสึกิไม่ค่อยมีท่าทีหัวเสียอย่างที่เคยเป็น

 

เย็นแล้ว โอชาโกะชวนคัตสึกิมานั่งกินลมชมพระอาทิตย์ตกริมแม่น้ำ วันนี้ทั้งวันทั้งสนุกและมีความสุขมาก แต่ก็อึดอัดมากเช่นกัน และเธอก็ค่อนข้างมั่นใจมากว่าอีกฝ่ายก็คงอึดอัดไม่แพ้เธอ

 

“…คิดอะไรอยู่?”

 

โอชาโกะสะดุ้งนิดหน่อย ส่ายหัวไปมาแล้วเงยหน้ามองอีกฝ่ายที่กำลังมองมาเหมือนกัน และ…เธอก็หลบตาเขาอีกครั้ง

 

“..คะ คือตั้งแต่วันนั้นมาจนถึงวันนี้น่ะ ยังไม่ถึงสองอาทิตย์เลยเนอะ”

 

“วันนั้น?”

 

“อื้อ วันนั้น…”

 

อีกฝ่ายเงียบไปอึดใจ

 

“อ๋อ อืม นั่นสินะ”

 

โอชาโกะรู้สึกว่าหัวใจตัวเองเต้นเร็วและแรงเป็นพิเศษเหลือเกิน

 

“….ฉันขอโทษนะ”

 

“หือ? ขอโทษ? เรื่องอะไร”

 

“ก็หลาย ๆ เรื่องน่ะ ฉันนิสัยไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ฉันเอาแต่ใจ ทำให้เธอปวดหัวมาตั้งหลายวัน จริง ๆแล้ว เธอไม่ต้องอดทนขนาดนี้ก็ได้นะ”

 

โอชาโกะรู้สึกว่าตัวเองเสียงแผ่วเบาลงไปเรื่อย ๆ ไม่มีเสียงใด ๆ ตอบกลับจากอีกฝ่ายเลย เธอจึงละสายตาจากบรรยากาศเบื้องหน้าเพื่อหันไปมอง

 

และ

 

ก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังมองเธออยู่เหมือนกัน

 

“…บาคุโกคุง”

 

“เธอพูดแบบนั้นฉันก็แย่สิ”

 

“เอ๊ะ?”

 

“ฉันดูเหมือนคนชั่วร้ายไปเลย เมื่อเทียบกับเธอ”

 

“เห ไม่น่า….”

 

คัตสึกิหันกลับไปมองพระอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้า พลันหันมาถามว่าไม่ถ่ายรูปเก็บไว้เหรอ โอชาโกะลืมตัวรีบหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาถ่ายภาพบรรยากาศตรงหน้า กดชัตเตอร์ไปหลายครั้ง และขณะที่กำลังจะเอ่ยปากขอให้อีกฝ่ายช่วยถ่ายให้เธอหน่อยนั้น ตอนนั้นเองภาพมุมข้างของคัตสึกิก็ปรากฏอยู่บนหน้าจอสมาร์ทโฟนในโหมดถ่ายภาพ ภาพนั้นดูดีจนโอชาโกะเผลอกดบันทึกภาพนั้นเก็บเอาไว้ ก่อนจะเก็บมันใส่กระเป๋าแล้วชวนกันกลับบ้าน

 

++++++++++++++++++++++++++++++++

 

“อุรารากะคุงน่าทึ่งจริง ๆ ที่ปราบคนอย่างบาคุโกได้สำเร็จ”

 

“เพิ่งเคยเห็นคัตจังเรียบร้อยก็ตอนนี้แหละ สุดยอดเลยอุรารากะจัง”

 

“เธอสองคนเหมือนเป็นแฟนกันเลยนะ”

 

ทั้งอีดะ อิซูกุ และสึยุทักทายเธอด้วยประโยคเดิมในเช้าวันจันทร์ ตามมาด้วยเสียงทักจากเพื่อนคนอื่นอีกว่าเธอตาคล้ำบ้างล่ะ ดูซีดเซียวบ้างล่ะ และเพราะคำทักทายเหล่านั้นเอง คัตสึกิจึงหันมามอง

 

“ฉะ ฉันไม่ได้เป็นอะไร๊ แค่นอนน้อยเฉย ๆ ช่วงนี้เอกสารในชมรมเยอะ ฉันเลยหอบกลับไปทำที่บ้านน่ะ ไหนจะการบ้านอีก”

 

ตอนนี้ที่ชมรมกลับมามอบหมายให้โอชาโกะเดินตรวจตราความเรียบร้อยในโรงเรียนอีกครั้ง หลังจากโดนทำโทษที่มาโรงเรียนสายจนต้องเปลี่ยนงานไปหนึ่งอาทิตย์ แต่ตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา คัตสึกิก็ยังคงสม่ำเสมอทุกอย่าง ไม่ว่าจะคอยมารับที่ชมรมและไปส่งเธอขึ้นรถเมล์กลับบ้าน ตอนเช้าบางวันเขาก็จะนั่งรถมารอเธอที่ป้ายรถเมล์แล้วค่อยเดินไปโรงเรียนพร้อมกัน ถึงแม้จะเป็นเวลาเพียงแค่สองอาทิตย์สั้น ๆ แต่สำหรับโอชาโกะแล้ว ช่วงเวลาเหล่านั้นมันมีค่าเหลือเกิน จนบางครั้งเธอก็อยากจะเลิก บอกขอโทษอีกฝ่ายแล้วเดินจากมา แต่บางครั้งเธอก็โหยหาช่วงเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันกับเขาเหลือเกิน มันสับสนไปหมดว่าควรจะทำยังไงต่อไป แต่ที่แน่ ๆ เกมนี้เธอแพ้แล้ว…

 

เธอชอบคัตสึกิเข้าให้แล้ว

 

เธอแพ้เขาหมดรูปแล้วจริง ๆ

 

“ฉันควรทำยังไงดี…”

 

สึยุ โมโมะ และเพื่อนสาวร่วมห้องอีกสองสามคนวันนี้มาเที่ยวที่บ้านโอชาโกะ เด็กสาวใบหน้าซีดเซียวคงเพราะคิดไม่ตกว่าควรจะตัดสินใจยังไงดี โมโมะมองดูรูปถ่ายคัตสึกิที่โอชาโกะแอบถ่ายสลับกับมองโอชาโกะที่นอนฟุบกับโต๊ะอยู่ตรงหน้าเธออย่างนึกสงสาร

 

“ช่วงเวลาแค่ไม่กี่วัน แต่เขาทำให้เธอชอบได้นี่ นับว่าเก่งมากเลย คนอย่างหมอนั่นน่ะ” เคียวคะจังว่าพลางลูบหัวโอชาโกะไปมา

 

“ตอนแรกฉันไม่เชื่อคำว่ารักแรกพบเลยนะ ฉันว่าช่วงระยะเวลามันสั้นจนเกินไป เกินกว่าจะใช้คำว่ารักได้ แต่ตอนนี้โอชาโกะจังทำให้ฉันรู้แล้วล่ะ” โมโมะยิ้ม

 

“ฉันไม่ได้ชอบหมอนั่นตั้งแต่แรกพบซะหน่อย ไม่ใช่สเปคด้วยซ้ำ” โอชาโกะค้านเสียงอ่อย

 

“เน่ เน่ ตั้งแต่เธอสองคนสนิทกัน ดูเหมือนบาคุโกคุงจะโวยวายน้อยลงกว่าเดิมด้วยนะ เขาปรับปรุงนิสัยตัวเองให้ดีขึ้นเพราะเธอนะ” มินะจังแสดงความคิดเห็นบ้าง

 

“ไม่หรอก บางทีหมอนั่นอาจจะรำคาณฉันเต็มกลืนแล้วก็ได้ แค่เก่งที่ไม่แสดงออกมาให้ฉันเห็นน่ะ เบื้องหลังคงกลับไปโวยวายชกฝาผนังบ้านจนบ้านพังหมดแล้วมั้ง”

 

“เธอมองโลกในแง่ร้ายสุด ๆ เอางี้ ให้ฉันโทรถามคามินาริให้เอาไหม?”

 

คามินาริกับเคียวคะก็กำลังกุ๊กกิ๊กกันอยู่เหมือนกัน แต่โอชาโกะปฏิเสธพัลวัน พร้อมทั้งบอกทุกคนว่าไม่ต้องเป็นห่วง และเธอจะไปขอโทษคัตสึกิในวันพรุ่งนี้

 

++++++++++++++++++++++++++++++++

 

แต่แล้ววันต่อมาโอชาโกะก็ไม่ได้ไปโรงเรียน เธอโทรศัพท์ไปหาอีดะเพื่อฝากลาอาจารย์ไอซาวะ โดยไม่ได้บอกเหตุผลอะไร และไม่ได้โทรหาเพื่อนคนไหนเลย แม้แต่กับคัตสึกิ

 

“วันนี้อุรารากะจังไม่ได้มาแฮะ เหงาเลยละสิ” คามินาริเอ่ยแซวในช่วงพักเที่ยงของวัน

 

คัตสึกิแยกเขี้ยวใส่เพื่อนก่อนจะคว้าสมาร์ทโฟนขึ้นมา นั่งมองมันอยู่นานแค่ไหนไม่รู้ จนกระทั่งคิริชิม่าใช้ศอกกระทุ้งแล้วบอกให้โทรหาเธอซะ

 

คัตสึกิส่ายหน้าก่อนจะเก็บมันไว้ในกระเป๋าตามเดิม เพื่อนทุกคนได้แต่พากันมองหน้ากันไปมา โดยที่ไม่มีใครพูดอะไร จนกระทั่งคิริชิม่าต้องพูดออกมาแทน

 

“…นายชอบอุรารากะเข้าแล้วใช่ไหม”

 

“……”

 

เงียบ ไม่มีเสียงตอบรับจากคัตสึกิ

 

“…ถ้าชอบเธอก็โทรหาเธอซะ เธออาจกำลังต้องการความช่วยเหลือจากนายอยู่ก็ได้”

 

“ใช่ๆ อาจกำลังนอนป่วยอยู่ เธอคงต้องการกำลังใจจากนายนะ บาคุโก” โอจิโร่เสริม

 

ตอนนั้นเอง จู่ ๆ อีดะก็วิ่งหน้าตั้งตรงเข้ามาด้วยความรวดเร็วสมกับเป็นนักกรีฑาอันดับหนึ่งของโรงเรียนเอยู สีหน้าไม่สู้ดีของอีดะฉายแววชัดเจน ชายหนุ่มพุ่งตรงเข้ามาเขย่าไหล่บาคุโกสองสามครั้ง แต่ไม่ว่าอีดะจะพูดอะไรออกมา บาคุโกก็ผุดลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งออกจากรั้วโรงเรียนทันที

 

++++++++++++++++++++++++++++++++

 

ร่างของหญิงสาวตัวเล็กที่อยู่เบื้องหน้ากำลังสั่นน้อย ๆ มือบางยกขึ้นมาเช็ดหน้าเช็ดตา เสียงสะอื้นให้และเสียงสูดน้ำมูกได้ยินชัดเจนเต็มสองรูหู แม้จะยืนหันหลังให้แต่เขาก็มองเห็นได้อย่างชัดเจน แม้จะห่างกันไกลขนาดไหนแต่ถ้าเป็นผู้หญิงคนนี้ยังไงเขาก็ไม่มีทางปล่อยไปเฉย ๆ

 

สมองคอยรั้งเขาเอาไว้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ขามันกลับไม่ฟังคำสั่ง มันออกวิ่งไปหาอีกฝ่ายเองทั้งที่สมองไม่ได้สั่งการมันเลยสักนิด มือใหญ่คว้าแขนเล็กของอีกฝ่ายเบา ๆ รั้งให้ร่างนั้นหันกลับมา วินาทีที่เห็นคราบน้ำตาเปื้อนสองแก้ม เขาก็ดึงเธอเข้าสู่อ้อมกอดทันที

 

“บะ บาคุโกคุง โมโม่จังเขา เขา……ฮึก..”

 

คัตสึกิไม่พูดอะไร แค่กอดและลูบหัวเธอเบา ๆ ปล่อยให้น้ำตาจากคนตัวเล็กกว่าเปื้อนเสื้อนักเรียน ปล่อยให้เธอร้องไห้จนกว่าเธอจะพอใจ เขาตระหนักได้ในตอนนั้นเองว่าแท้ที่จริงแล้วเขารู้สึกอย่างไรในตอนนี้

 

และเขาตั้งใจไว้ว่า จะบอกกับเธอในสักวันหนึ่ง

 

“….ดีขึ้นไหม”

 

คัตสึกิถามพลางยื่นผ้าเย็นให้อีกฝ่ายเช็ดหน้าเช็ดตา โอชาโกะรับมันมาแล้วหันไปเช็ดคราบหน้าตาออกเบา ๆ เมื่อความเศร้าเริ่มเจือจาง ความเขินอายก็เริ่มเข้ามาแทนที่

 

“…ฉันร้องไห้หนักแค่ไหนกันนะ”

 

“ก็ไม่หนักขนาดนั้น แต่เธอ…โอเคแล้วนะ?”

 

“อื้อ ตอนนี้โมโม่จังเขาไปสบายแล้วล่ะ ขอบใจเธอมากนะที่อุตส่ามา”

 

คัตสึกิมองเห็นพ่อและแม่ของโอชาโกะกำลังมุ่งตรงมาทางนี้ เขาจึงลุกขึ้นยืนโค้งให้ทั้งสองจากที่ไกล ๆ แล้วหันกลับมามองคนตัวเล็กกว่าอีกครั้ง

 

“พรุ่งนี้ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย ไปโรงเรียนด้วยนะ”

 

พูดจบก็ขอตัวกลับออกไป โดยทิ้งให้โอชาโกะมองตามด้วยความงุนงง

 

            ++++++++++++++++++++++++++++++++

 

เช้าวันต่อมา คัตสึกิมารอโอชาโกะอยู่ที่ป้ายรถเมล์สายที่โอชาโกะนั่ง ทั้งคู่เดินเข้าโรงเรียนพร้อมกันเกือบทุกวันจนเป็นกิจวัตรไปแล้ว แรก ๆ ก็โดนมองและโดนนินทาระยะเผาขนอยู่หรอก แต่เมื่อคัตสึกิหันไปทำตาถลึงใส่ก็กลัวหัวหด ไม่กล้ามองหรือนินทาอีกเลย

 

“เป็นยังไงบ้างล่ะ”

 

“อื้อ ทางโรงพยาบาลจัดการให้เรียบร้อยแล้วล่ะ โมโม่ไปสบายแล้ว”

 

เสียงตอนท้ายของโอชาโกะแกว่งไปนิดหน่อย คัตสึกิเอื้อมมือขึ้นมาลูบหัวอีกฝ่ายเบา ๆ เป็นเชิงปลอบใจจนโอชาโกะเผลอสะดุ้งสุดตัว

 

“ตกใจอะไรขนาดนั้น?”

 

“ปะ เปล่า”

 

“ยัยเพี้ยนเอ๊ย”

 

โอชาโกะก้มหน้าเขิน

 

หรือนี่อาจเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม เธอไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องอดทนไปกับเธอมากไปกว่านี้อีกแล้ว เธอควรจบที่นี่ ตอนนี้

 

“….ขอโทษนะ”

 

“เรื่องอะไร?”

 

“….ไม่รู้สิ ทุกอย่างนั่นล่ะ เธอคงจะ….อดทนกับฉันมานาน เพราะฉะนั้น…ช่วงเวลาหลายวันที่ผ่านมา พอเถอะนะ เธออย่าฝืนใจตัวเองมากไปกว่านี้เลย…”

 

“…….”

 

โอชาโกะรู้สึกว่าขอบตาตัวเองเริ่มร้อนผ่าวอีกแล้ว แต่ถ้าไม่พูดตอนนี้ ก็ไม่รู้จะพูดตอนไหนอีก

 

“….จำเรื่องเมื่อสองอาทิตย์ก่อนได้ไหม วันนั้นน่ะ…..ฉันน่ะนะ แพ้แล้ว ฉันยอมแพ้ ฉันแพ้เธอแล้วบาคุโกคุง ดีใจด้วยนะ”

 

“……”

 

“ดีใจด้วย ที่เธอทำสำเร็จ เธอทำให้ผู้หญิงคนนึงชอบเธอเข้าจนได้…..”

 

“……”

 

“ที่ผ่านมา แม้จะเป็นเพียงแค่ระยะเวลาสั้น ๆ แต่ฉันก็รู้สึกสนุก และมีความสุขมาก แต่ฉันมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น เธอคงลำบากกับฉันมานาน ไม่ต้องอดทนอีกแล้ว เป็นตัวของตัวเองได้แล้วนะ”

 

“……”

 

สุดท้ายโอชาโกะก็มองหน้าคัตสึกิไม่ชัด หยาดน้ำใสคลอหน่วยจนต้องแอบหันไปปาดมันออก อีกฝ่ายคงกำลังแปลกใจอยู่ ถ้าหากทำตัวอ่อนแออะไรนิดหน่อยก็ร้องไห้แบบนี้ อีกไม่กี่วินาที ระเบิดลงแน่นอน

 

“…เธอบอกให้ฉันเป็นตัวของตัวเองใช่มั้ย”

 

“เอ๋?”

 

“ใช่ หลายวันที่ผ่านมาน่ะ ฉันลำบากมาก ฉันเกือบจะเป็นบ้าวันละหลายร้อยรอบเลย เธอรู้หรือเปล่า ห๊า ยัยบ้า!!!!!”

 

“!!!!!!”

 

“…..เธอมันยัยบื้อ ยัยซื่อบื้อเอ๊ย ยัยติงต๊อง ยัยปัญญาอ่อน ชอบทำตัวน่ารำคาญ คิดว่าตัวเองน่ารักอย่างนั้นเหรอ!!!! ยัยบ้าเอ๊ย”

 

พูดจบอีกฝ่ายก็คว้าแก้มทั้งสองข้างของเธอไปบิด หน้าตาเริ่มกลับมาเป็นบาคุโก คัตสึกิคนเดิมแล้ว แต่น่าแปลกที่อีกฝ่ายไม่ได้ออกแรงให้เธอต้องเจ็บเลย แต่คิ้วที่กำลังกระตุกอยู่นั้นก็บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าอีกฝ่ายคงโมโหเธอจริง ๆ

 

“ฉะ…ฉันขอโทษนะ บาคุโกคุงง”

 

“เลิกขอโทษพร่ำเพรื่อได้แล้วโว้ย!!!!!!!”

 

สุดท้ายโอชาโกะก็โดนคัตสึกิที่หน้าตาเริ่มกลับมาเป็นคัตสึกิคนเดิมอีกครั้ง กึ่งจูงกึ่งลากกระเป๋าเป้ของเธอให้รีบเดินออกจากที่ตรงนั้นเพราะคนที่เดินผ่านไปมาเริ่มเมียงมองแล้ว บางคนตั้งท่าจะเข้ามาชกหน้าเขาแล้วด้วยซ้ำ เพราะคิดว่าเขาเป็นคนไม่ดีรังแกเด็กผู้หญิงตัวกะเปี๊ยก

 

++++++++++++++++++++++++++++++++

 

“บาคุโกคุง ทรงผมไม่เรียบร้อย ชอบใส่กางเกงหลุดตูด และสวมรองเท้าเหยียบส้น”

 

“ห๊า!?”

 

“หักคะแนนความไม่เรียบร้อยสิบคะแนน ช่วงหลังมานี้เธอแย่ยิ่งกว่าเดิมอีกนะ ไม่ไหวจริงๆ” โอชาโกะจดบันทึกพลางส่ายหัวไปมาด้วยความเอือมระอา

 

“ไม่ต้องมาทำสีหน้าแบบนั้นเลยโว้ย!!!!!!!!!!”

 

ปึง!

 

“อุ้ย ตาเถร ทำลายข้าวของของโรงเรียนอีกแล้ว หักเพิ่มอีกห้าคะแนน”

 

“ยัยเตี้ยนี่ อยากลองดีกับฉันใช่มะ ห๊ะ!!!!!!!!!”

 

“ใจเย็นก่อน บาคุโก อีกฝ่ายเป็นผู้หญิงนะเว้ย” คิริชิม่ากับคามินาริรีบเข้ามาห้ามบาคุโกจอมเลือดร้อน โทโดโรกิส่ายหน้าไปมาก่อนจะหันกลับไปสนใจหนังสือเรียนต่อตามเดิม

 

“…ฉันละสงสัยจริง ๆ ว่าทำไมฉันถึงชอบคนอย่างเธอเข้าไปได้นะ ตัวฉันเมื่อเดือนที่แล้วเกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นเหรอ” โอชาโกะยักไหล่กับตัวเอง

 

“…หนอย ฝากไว้ก่อนเถอะ!!!!!!”

 

โอชาโกะแลบลิ้นปลิ้นตาใส่คัตสึกิก่อนจะหันกลับไปตรวจตราความเรียบร้อยของคนอื่น ๆ ต่อ แต่หลังเลิกชมรมเย็นวันเดียวกันนั้นเอง คัตสึกิ บาคุโก ตัวแทบหักเพราะคุณเธอพุ่งกระโดดเข้ากอดเขาเต็มรักจนแทบจุก

 

“เย้!!! วันนี้ไปกินแมคกันนะ!!!”

 

“ไม่ไปโว้ยยยยยยยยยยย”

 

“หนอยย เธอเป็นคนบอกเองนะว่าจะเลี้ยงฉันน่ะ!!”

 

“หา? อย่าฝันกลางวันน่าแม่คุณ ตื่น ๆ ฉันไปสัญญาอะไรตอนไหน”

 

“สัญญาสิ เธอสัญญาแล้ว เมื่อวันก่อนไง”

 

“ไม่รู้โว้ย!!!!!!!!!!!!!!”

 

“บาคุโกคูง!!!!!!!!!!!!!!!!!!”

 

 

fin

 

            แถมต่อนิดหน่อย—

 

“เออ คราวก่อนนายบอกว่าถ้าอุรารากะแพ้ นายจะสั่งให้ยัยนั่นทำอะไรก็ได้ สรุปนายสั่งอะไรเธอไปวะ?” คิริชิม่าขมวดคิ้วถาม

 

“หา ฉันไปสัญญาอะไรแบบนั้นตอนไหนวะ”

 

“ก็นี่ไง….”

 

            “ภายในหนึ่งเดือนนี้ ถ้ามีใครก็ตามมาชอบฉันแม้แต่คนเดียวล่ะก็ เธอจะยอมทำตามที่ฉันต้องการทุกอย่างเลยใช่ไหม”

 

“…อย่าทำเป็นจำไม่ได้ซี่” คามินาริโดนเบิ้ดกะโหลกไปหนึ่งทีถึงกับต้องลงไปนอนกุมหัวที่พื้น

 

“…สรุปแล้วนายสั่งอะไรเธอไปวะ?”

 

“ไม่ต้องมาเซ้าซี้ถามเลยโว้ย ไม่ใช่เรื่องของพวกแก!!!!!!!!!!!”

 

“โธ่ ไอบ้านี่ ไม่ต้องทำมาเป็นเขินเลยนะ บอกมาเดี๋ยวนี้”

 

“ไม่บอกโว้ย!!!!!!!!!!!!!”

 

“…..หมอนั่นสั่งให้อุรารากะกลับมาคบกับตัวเองเหมือนเดิมไง”

 

“เห!?????????” ทุกคนหันไปมองโทโดโรกิเป็นตาเดียว

 

“จริงดิ”

 

“จริงเหรอวะ?”

 

“สุดยอดดดด ไอหมอนี่ร้ายกาจว่ะ ไม่ธรรมดาจริงๆ”

 

“ไอครึ่ง วันนี้เอ็งตาย!!!!!!!!!!!!!”

 

            จบจ้า

 

 

สวัสดีค่ะทุกคน ฟิกเรื่องนี้เขียนขึ้นมาเพราะความหัวแล่นชั่ววูบของเรามากๆ

เริ่มจากการนั่งทำงานไปเรื่อยๆ สมองดันนึกไปถึงพลอตนิยายน้ำเน่า ๆ

แล้วก้มานั่งจินตนาการว่าถ้าพล็อตแนวนี้มันเกิดกับ #kacchako ของเรา จะเป็นยังไง

ก็เลยเริ่มนั่งเขียนตั้งแต่ 4 โมงเย็น กลับบ้านมานั่งกินข้าว ซักผ้า แล้วมานั่งเขียนต่อจนจบ

ตื่นเช้ามาก่อนทำงาน ก็นั่งอ่านทวน แก้คำผิด แก้ประโยคนั่นนี่อีกที เสร็จจนได้

ตกใจมาก เพราะไม่ได้ฟิตเขียนฟิกแบบเสร็จอย่างรวดเร็วแบบนี้มานานแล้ว 55555

บอกก่อนเลยว่าที่จริงเราเป็นสาววายนะคะ ปกติเวลาดูเมะ อ่านมังงะเรื่องไหนก็ตาม

มักจะชิปคู่วายชายxชายซะเป็นส่วนใหญ่เลย แต่กับเรื่องนี้แปลกเหมือนกันที่มาชิปนอร์มอลกับเขา 555

หวังว่าเรื่องหลักจะมีโมเม้นของบาคุโกกับอุรารากะจังมาอีกให้พอกระชุ่มกระชวยนะคะ

ถึงแม้ความจริงแล้วจะไม่ได้คู่กันก็ตาม เส้าเล็กๆ แต่แฟนอาร์ดสวยๆเยอะมาก

ไปหามาเสพกันเถอะ ไม่มีมมก็นั่งเสพแฟนอาร์ตเอานี่ล่ะ 555555555

ทอล์กซะเยอะ แต่เอาเป็นว่าจะพยายามเข็นคู่นี้ออกมาอีกนะคะ

ยังไม่ได้ดู ss3 เลยอ่ะ ไม่ได้ดูสองภาคก่อนหน้านี้มานานแล้วด้วย

บางอย่างมันแปลกๆ เช่นคำเรียก บลาๆ ถ้าไม่ตรงกับเรื่องหลักก็ขออภัยนะคะ

แล้วพบกันใหม่ค่ะ

 

[SF] Would you like to be my girlfriend? (Minho x Newt)

[SF] Would you like to be my girlfriend? (Minho x Newt)

ไม่น่าเลยจริงๆ

เขาไม่น่าเป็นคนต้นคิดเรียกเพื่อนๆ มารวมกลุ่มกัน ไม่น่าใจป้ำบอกเพื่อนว่าจะพาใครมาด้วยก็ได้ มันเล่นพากันมาหมดเลย เพิ่งจะมาสังเกตเอาก็วันนี้ วันที่เพื่อนๆ ในกลุ่มพาแฟนมาให้เขาดูกันพร้อมหน้า พวกนี้เล่นมีแฟนกันหมดแล้ว เหลือเขาคนเดียวที่ยังหาไม่ได้นี่มัน…

ไม่น่าเล้ย

ตอนแรกก็พูดคุยกินดื่มกันเป็นกลุ่มดิบดีอยู่หรอก แต่พอถึงช่วงร้องคาราโอเกะและมีใครสักคนร้องเพลงรัก มันพากันไปพลอตรักในมุมมืดกันแทบทุกคู่ เหลือเขานั่งหัวโด่อยู่คนเดียว เพลงสามนาทีรู้สึกเหมือนมันผ่านไปนานสามปี ไม่เคยรู้สึกอยากมีแฟนมากเท่าตอนนี้ นั่งนึกอยู่ในใจ เพลงจบเมื่อไหร่ พ่อจะเตะก้านคอมันทีละคน

เพลงจบแล้ว ทุกคนปรบมือให้กำลังใจคู่รักที่ยืนครองไมค์อยู่ด้านหน้า ก่อนจะวางไมค์แล้วจูงมือกันมานั่งที่โซฟา ระยะห่างจากตรงนั้นห้าก้าวมันยังจูงมือกันเดิน คิดดู จะให้เขารู้สึกยังไง

ตั้งใจข่มความรู้สึกนี้เอาไว้ ภาวนาให้งานเลิกเร็วๆ แต่แล้วเจ้ากัลลี่ตัวแสบก็โพล่งอะไรบางอย่างออกมา

“มินโฮ จะว่าไป วันนี้มีนายคนเดียวนี่หว่าที่ไม่ได้พาใครมา ว้าเว้ย แชมป์กรีฑาสี่สมัยเลยนะเว้ย นายมีหญิงให้เลือกสรรเป็นกระบุงโกย ไหงไม่พามาสักคนละวะ ฮ่าๆ”

อยากถีบหน้ามันสักทีนึง แต่ก็เกรงใจแฟนรุ่นพี่ของมัน ต้องข่มโทสะไว้

“…โทษทีครับคุณกัลลี่ พอดีผมไม่ชอบควงใครก็ไม่รู้ที่ผมไม่รู้จักเพียงเพื่อมาอวดเพื่อน ผมมีความเป็นสุภาพบุรุษพอที่จะไม่ทำเรื่องเสียมารยาทกับผู้หญิงครับ”

เสียงโห่ดังขึ้นมาทันที แอบเห็นเจ้ากัลลี่หน้าเสียไปนิดหนึ่ง สะใจเล็กๆ

“แล้วนายไม่ชอบใครบ้างเหรอวะ มันต้องมีสักคนเซ่ คนเอเชียในมหาลัยเรามีเยอะก็จริง แต่เท่าที่เห็นก็มีแต่นายว่ะที่ไปวัดไปวาได้ หน่วยก้านก็ดี มีดีกรีเป็นนักกรีฑาอีกต่างหาก นายไปสารภาพรักใคร ร้อยทั้งร้อยตอบตกลงนายหมดนั่นแหละ” อัลบีแนะนำ

“ไอคนที่ชอบน่ะ มันก็มีนะ แต่พอเอาเข้าจริงๆ ก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่ว่ะ มันอธิบายไม่ถูกนะ แล้วการที่ควงสาวไว้เพื่ออวดเพื่อนหรืออวดชาวบ้านว่าตรูก็มีกับเขานะเว้ย โดยที่ไม่ได้พิศวาสเลย แบบนี้มันยิ่งดูน่าสมเพชว่ะ”

ทุกคนพยักหน้าคล้อยตาม

“แต่ถึงยังไงพวกเราก็อยากให้นายมีแฟนก่อนเรียนจบนะเว้ย นี่อะไร เรียนมหาลัยมาสี่ห้าปี มันมีแฟนอยู่คนเดียวตอนปีหนึ่ง ป๊อปปี้เลิฟใสใส มันถึงเวลาของความรักแบบผู้ใหญ่แล้วเว้ยเพื่อน”

ฟรายเพนตบบ่าเขาเบาๆ แล้วจู่ๆ เจ้าโทมัสที่นั่งเงียบอยู่นานก็โพล่งขึ้นมา

“เอางี้มะ ถ้านายหาใครไม่ได้เลย ไม่รู้จะจีบใคร เอางี้เลย ใครก็ตามที่เปิดประตูเข้ามาในห้องนี้เป็นคนแรกนับจากนี้ นายไปจีบคนนั้น เอามั้ยเพื่อน? เด็กเสิร์ฟร้านนี้เด็ดๆ หลายคนนา” โทมัสพูดพลางถองเขาที่สีข้าง

“โทมัส ตกลงนายเข้าใจที่ฉันพูดตะกี้ป่ะ? นายนี่มันปลวกตั้งแต่ปีหนึ่งยันปีสี่เลยนะเว้ย ไอหน้าปลวก”

ทุกคนหัวเราะกันยกใหญ่ จนกระทั่งเสียงประตูเปิด ทุกคนหันไปมองผู้เข้ามาใหม่โดยอัตโนมัติ รวมทั้งเขาด้วย

“จะต่อเวลาอีกมั้ยครับ”

กัลลี่กับโทมัสตัวสั่น พวกมันกำลังกลั้นขำ ฟรายเพนกับอัลบีส่ายหน้าไปมาอย่างเอือมระอา เฮ้ย อย่าบอกนะว่าจะให้เขาจีบไอหมอนี่!?

พนักงานเสิร์ฟที่เปิดประตูเข้ามาเป็นคนผิวขาว ตัวผอมบางดูเก้งก้าง ใบหน้าเรียวเล็กดูอ่อนเยาว์ เดาจากหน้าตาคิดว่าอายุไม่น่าถึงยี่สิบ และที่สำคัญเลยคือ เป็นผู้ชาย…

“..จะต่อเวลาอีกมั้ยครับ” เริ่มเน้นเสียง เพราะนี่เป็นการถามครั้งที่สอง

“ตะ ต่อครับ” เขาโพล่งตอบออกไปแทน อีกฝ่ายพยักหน้าแล้วหันกลับออกไป สิ้นเสียงประตูปิด ไอ้พวกที่กลั้นขำแบบสุดขีวิตก็ปล่อยก๊ากออกมา

“เอ้าเพื่อน เดินหน้าลุยเลย ตะกี้นายบอกนายจะเป็นสุภาพบุรุษกับผู้หญิงใช่มะ แต่นี่ไม่ใช่ผู้หญิง อย่าคิดให้มากความ เข้าไปลุยเลย” โทมัสดึงแขนเขาให้ลุกขึ้นยืน

“เฮ้ย ไอ้พวกบ้าห้าร้อย พวกนายจะให้ฉันไปจีบเด็กผู้ชายเหรอวะ!!” เขาร้อง

แต่ยังไม่ทันได้โต้ตอบอะไรมากกว่านั้น เจ้าพวกบ้าก็พากันลากเขาออกจากห้องทันที พร้อมปิดประตูตามหลังแถมยังล็อกอีกต่างหาก

“มินโฮ ถ้าคืนนี้นายไม่ไปขอน้องคนนั้นเป็นแฟน อย่าหวังเลยว่าจะได้กลับบ้าน”

เสียงโทมัสตะโกนออกมาจากในห้อง เขาทรุดตัวลงนั่งยองกับพื้นอย่างหัวเสีย

เพราะเจ้ากัลลี่เลยที่เป็นคนเปิดประเด็นเรื่องนี้ขึ้นมา จะให้ไปขอเด็กผู้ชายที่เด็กกว่าหลายปีมาเป็นแฟนเนี่ยนะ!? บ้าบอกันไปใหญ่แล้ว!!

“มีอะไรหรือเปล่าครับ” เสียงราบเรียบเอ่ยถามขึ้นมา เขาเงยหน้าขึ้นดู เมื่อเห็นชัดเต็มสองตาว่าอีกฝ่ายเป็นใคร เขาลุกพรวดยืนขึ้นทันที

“อะ เอ่อ…เปล่าครับ”

‘ทำไมนายพูดตะกุกตะกักแบบนั้นวะมินโฮ เห่ยเป็นบ้า’ เขานึกโทษตัวเองในใจ

“ถ้ามีอะไรก็สั่งพนักงานในร้านได้นะครับ” พูดจบก็เดินเลี่ยงไปยังห้องคาราโอเกะอีกห้อง

เขาเอื้อมมือไปบิดลูกบิดประตูห้องตัวเอง ก็ยังคงล็อกอยู่ เขาเคาะประตูห้องสองสามที

“เฮ้ เปิดประตูเดี๋ยวนี้นะเว้ยไอ้พวกหัวขวดทั้งหลาย  รีบเปิดภายในหนึ่งนาทีนะเว้ย ถ้าเกินกว่านี้พวกนายได้เจอดีแน่” เขาคำรามลอดไรฟัน แต่เสียงก็ไม่ได้ดังไปกว่าการพูดคุยธรรมดา คงเพราะบริเวณนั้นมีลูกค้าและพนักงานคนอื่นเดินผ่านไปผ่านมาอยู่เป็นระยะ

เงียบ ไม่มีเสียงตอบรับ

นี่มันห้องเก็บเสียงนี่หว่า ถ้าอีกฝั่งไม่ยืนเอาหูแนบประตู พูดให้ตายยังไงก็ไม่ได้ยิน เขานึกขึ้นได้ก็เกาหัวอย่างร้อนรน ตัดสินใจเดินไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำ เผื่อความเย็นจะช่วยให้เขาใจเย็นลง

แต่แจ็กพอตเข้าให้เต็มๆ เมื่อเจอเด็กหนุ่มคนนั้นในห้องน้ำอีกครั้ง

เด็กหนุ่มภายใต้แสงไฟสว่างจ้าในห้องน้ำชาย ขับให้เด็กหนุ่มผิวขาวขึ้นไปอีก ใบหน้าเล็กจิ้มลิ้ม ริมฝีปากแดงสดเม้มปากขณะที่เอื้อมไปถอดชุดเอี๊ยมของพนักงานออก

เด็กหนุ่มเห็นเขายืนมองอยู่ที่หน้ากระจกใบใหญ่หน้าอ่างล้างมือ แต่ไม่หันมาสบตาเลยสักนิดเดียว ยังคงง่วนอยู่กับการล้างมือล้างหน้า จนเสร็จธุระของตัวเองและหันหลังจะเดินออกจากห้องน้ำไป ตอนนั้นเอง…

“เอ่อ เดี๋ยวครับ”

เดี๋ยวนะ นายจะรั้งน้องเขาไว้ทำไม?

เด็กหนุ่มหันมามองด้วยสีหน้างุนงง

“내 애인이 되어 줄래?” (เน แอ อี นี่ ทเว ออ จูล เร้ะ?)

ไม่รู้ทำไม จู่ๆ เขาถึงได้อายขึ้นมา อายเด็กผู้ชายเนี่ยนะ!? เขาจึงพ่นภาษาบ้านเกิดใส่ซะเลย ซึ่งแน่นอนว่าอีกฝ่ายถึงกับงงหนักเข้าไปใหญ่

“ขอโทษครับ ผมฟังไม่เข้าใจ” อีกฝ่ายตอบกลับมา ซึ่งเขาก็มั่นใจอยู่แล้วว่ายังไงอีกฝ่ายก็ฟังไม่ออกแน่ๆ

“ไม่เป็นไรครับ ขอแค่ผมได้พูดออกไปก็พอ”

จบประโยค เขาก็หันหลังเดินกลับออกมา หน้าไม่ต้องล้งต้องล้างมันล่ะ

เกิดมาเขาไม่เคยขอผู้ชายเป็นแฟนมาก่อน มันเป็นอะไรที่งี่เง่ามาก เขาไม่ได้มีรสนิยมชอบคนเพศเดียวกันซะหน่อย อยากตึ๊บไอ้โทมัสหน้าปลวกนั่นสักทีสองที โทษฐานทำให้เขาเสียความมั่นใจ ทำให้เขาขายขี้หน้า และทำให้เขาเริ่มไขว้เขว!!

เขาทุบประตูห้องดังลั่นจนพนักงานหันมามอง ร้องโวยวายขอเข้าไปข้างในอย่างรีบด่วน เขาไม่อยากเจอหน้าเด็กหนุ่มคนนั้นเป็นครั้งที่สี่แล้ว อย่างน้อยตอนนี้เขาก็ทำภารกิจบ้าๆ นี่สำเร็จล่ะ ก็แค่บอกพวกปลวกไปว่าเด็กคนนั้นปฏิเสธ เรื่องมันจะได้จบๆ เขาจะได้กลับบ้านเสียที

“เฮ้ นายอยากโดนเจ้าของร้านจับโยนออกนอกร้านหรือไง” อัลบีเขกหัวเขาไปทีหนึ่ง เขาไม่สนอะไรทั้งนั้น ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา สองมือลูบหน้า รู้สึกตัวเองทำเรื่องผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตเข้าให้แล้ว

ทุกคนสังเกตเขาเงียบๆ ก่อนโทมัสจะถลาเข้ามาหาเขาคนแรก

“เฮ้ อย่าบอกนะว่านายไปขอเด็กนั่นแล้ว?”

เขามองหน้าเจ้าปลวกโทมัสแว่บหนึ่ง อยากเตะเป็นบ้า แต่ตอนนี้ขี้เกียจเกินกว่าจะขยับขา โชคเข้าข้างเขาที่ห้องคาราโอเกะค่อนข้างมืด พวกนั้นคงไม่เห็นสีหน้าของเขาในตอนนี้หรอกนะ

พอเขาเงียบ ไม่ตอบอะไร ทุกคนก็ถึงบางอ้อ โทมัสกับกัลลี่หัวเราะสุดเสียง ฟรายเพนทำท่าทางไว้อาลัยให้เขา อัลบีจ้องหน้าเขาเหมือนเขาไปฆ่าใครมา

“แล้วเด็กนั่นตอบนายว่าไง” กัลลี่ถาม

“ก็อึ้งสิวะ จะให้ตอบอะไร”

โทมัสหยุดหัวเราะ เริ่มมีสีหน้าเหมือนอยากจะขอโทษเขา

“คือ มินโฮ..”

“อย่าคิดมากน่าเพื่อน อย่างน้อยนายก็แค่ขายขี้หน้า พรุ่งนี้ไม่ต้องไปเรียนแล้วนี่หว่า ถือว่าทำเรื่องบ้าๆ ด้วยกันก่อนเรียนจบ คิดแบบนั้นก็พอ” ฟรายเพนตบบ่าเขา

“ก็ยังดีที่เด็กนั่นปฏิเสธ ถ้าตกลงขึ้นมานี่ไม่อยากนึกภาพเจ้าหมอนี่ควงผู้ชายมาเที่ยว” กัลลี่ยังไม่หยุดขำ

เจ้าพวกนี้ไม่ทันนึกว่าเขาขอเด็กคนนั้นเป็นแฟนเป็นภาษาเกาหลี ที่อึ้งไม่ใช่อึ้งที่มีผู้ชายมาขอเป็นแฟน แต่อึ้งเพราะฟังไม่ออกต่างหาก มาคิดดูอีกที เขาคิดถูกแล้วที่พูดเป็นภาษาเกาหลี ถึงยังไงเขาก็ไม่คิดจะมาเหยียบที่นี่อีกเป็นครั้งที่สองอยู่แล้ว มหาลัยก็เรียนจบแล้ว จากนี้เขาจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ เข้าสู่ชีวิตวัยทำงาน คงไม่มีเวลามานั่งเล่นบ้าๆ แบบนี้แล้วแน่นอน

แต่เขาก็คิดผิด

เช้าวันทำงานวันแรก เขาตื่นเช้ากว่าปกติ ตั้งใจจะลงไปกินอาหารเช้าที่คาเฟ่เปิดใหม่หน้าอพาตเมนท์ เขาเข้างานเก้าโมง ยังพอมีเวลานั่งเรื่อยเปื่อยในคาเฟ่ราวชั่วโมง ก่อนจะโหนรถเมล์ไปลงที่ทำงานที่ห่างจากอพาตเม้นท์ไปอีกเกือบชั่วโมง เขาวางแผนทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว จนกระทั่งเจอเด็กคนนั้นเป็นครั้งที่สี่ หน้าห้องของเขาเอง

ต่างคนต่างอึ้งที่เจอหน้ากันอีกครั้ง วินาทีนั้น เขาแทบอยากให้ธรณีสูบเขาให้หายไปซะตอนนี้เลย เอาให้รู้แล้วรู้รอดกันไป หรือไม่ก็วิ่งหนีไปซะ แต่ขาเจ้ากรรมดันไม่ขยับซะนี่

“นายพักอยู่ที่นี่เหรอ” เด็กคนนั้นทักเขาก่อน เขาพยักหน้าตอบไป แต่เอ้ะ ‘นาย’ ?

“แล้วน้องล่ะครับ” ปากเขาขยับไปไวกว่าที่ใจคิด

อีกฝ่ายขมวดคิ้วเข้าหากัน รอยย่นบนหน้าผากปรากฏขึ้นสองสามขีด ดูน่ารักไปอีกแบบ

เดี๋ยวนะ! นี่เขาคิดอะไรออกไป!

“ขอโทษนะ ไม่ทราบเรียกใครว่า ‘น้อง’”

เดี๋ยวนะ

“ก็น้องที่ทำงานที่ร้านนั้น?”

“รุ่นเดียวกันต่างหาก” พูดจบประโยค อีกฝ่ายก็สแกนลายนิ้วมือ แล้วเปิดประตูเข้าห้องตัวเองไป

อพาตเม้นท์ที่เขาอาศัยอยู่เป็นระบบสแกนลายนิ้วมือก่อนเข้าห้อง เขาอาศัยอยู่ที่นี่มาตั้งแต่ปีหนึ่ง ทำไมเพิ่งจะเคยเห็นหน้าตาเจ้าของห้องฝั่งตรงข้าม?

พอมานึกดูอีกที ไม่ใช่ล่ะ ก่อนหน้านี้ห้องฝั่งตรงข้ามเป็นคุณป้าแก่ๆ คนหนึ่งที่ทำงานเป็นบก.นิตยสารเกี่ยวกับกีฬา ยังเคยเรียกให้เขาไปคุยเรื่องนี้ด้วยกันอยู่บ้าง แล้วคุณป้าย้ายออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่!?

กริ๊ก

เสียงประตูบานนั้นเปิดออกอีกครั้ง

“อ้าว มินโฮนี่นา ไปทำงานวันแรกเหรอจ๊ะ?”

เขายืนตะลึง คุณป้ายังอยู่นี่นา แล้วเจ้าเด็กคนนั้น?

“มีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ?” คุณป้าถามยิ้มๆ แขนควงตะกร้าเปล่า คงกำลังจะไปจ่ายตลาด

“เอ่อ คุณป้าครับ ไม่ทราบว่าเด็กผู้ชายตัวผอมๆ ที่เข้าไปในห้องคุณป้าตะกี้นี้……”

คุณป้าร้องอ๋อ เอามือปิดปาก ก่อนหัวเราะออกมา

“ต๊าย ป้ายังไม่เคยเล่าเรื่องนิวท์ให้มินโฮฟังเหรอจ๊ะ นิวท์เป็นลูกชายคนเดียวของป้าเองจ้ะ เขาย้ายมาอยู่กับป้า เพราะได้งานประจำทำอยู่แถวนี้ คิดว่ายังไงก็ไปมาสะดวกกว่าอยู่หอพักเดิม”

 

 

คุณป้าขอตัวไปจ่ายตลาดนานแล้ว แต่เขายังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม สมองหยุดทำงานไปชั่วขณะ ร่างกายอ่อนปวกเปียกจนต้องพิงประตูห้องตัวเอง และยืนอยู่ตรงนั้นนานแค่ไหนไม่รู้ จนกระทั่งประตูห้องตรงข้ามเปิดออกอีกครั้ง เด็กเสิร์ฟคนนั้น ไม่สิ นิวท์ในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนเดฟ สะพายกระเป๋าเป้สีดำ ตอนแรกสีหน้าก็เป็นปกติ แต่พอเห็นเขายืนเอ๋ออยู่ คิ้วก็ขมวดมุ่นอีกครั้ง

“ไม่ไปทำงานเรอะ” อีกฝ่ายถาม

แน่ใจนะว่าเราเพิ่งรู้จักกัน? หมอนี่พูดจาเหมือนเราสนิทสนมกันมานาน น้ำเสียงขึ้นสูงเหมือนไม่พอใจอะไรสักอย่าง คงเพราะเรื่องที่เขาเข้าใจผิดคิดว่าเป็นรุ่นน้อง

“เอ้อ ไปสิ” เขาตอบเสียงสั่น ฟังดูทุเรศมาก

อีกฝ่ายยักไหล่ก่อนเดินจากไป และหยุดยืนอยู่หน้าลิฟต์

“เฮ้ ลิฟต์จะมาแล้วนะ ตกลงนายจะไปทำงานป่ะเนี่ย” นิวท์ตะโกน เขาสะดุ้งน้อยๆ กึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้าไปในลิฟต์ที่เปิดรอรับอยู่แล้ว และเมื่อประตูลิฟต์ปิดลง…

แม้เขาจะไม่เคยอยู่ในคุกมาก่อน แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าความรู้สึกนั้นมันเป็นอย่างไร อึดอัดเป็นบ้า หายใจหายคอไม่สะดวกเลย เขาคลายเนคไทให้หลวม ยกแขนขึ้นดูเวลา ซึ่งคงไปดื่มกาแฟไม่ทันแล้ว นอกจากนั้นก็ขยับเปลี่ยนท่ายืน เงยหน้ามองเพดาน เป็นเวลาสองนาทีที่ทรมานมาก เหมือนมันผ่านไปนานเป็นชาติ เราไม่คุยอะไรกันเลยจนกระทั่งลิฟต์เปิดออก เขารอให้อีกฝ่ายเดินออกไปก่อน

เขาเริ่มออกเดินให้ช้ากว่าปกติ เพื่อให้อีกฝ่ายเดินนำไปก่อน เป็นการเลี่ยงการปะทะกันที่ดีที่สุด แต่อีกฝ่ายหยุดเดิน แล้วหันมามองเขา

“มัวเก้ๆกังๆอะไรอยู่”

สุดท้ายเราก็ต้องมาเดินเคียงบ่าเคียงไหล่กันในที่สุด ระยะทางจากอพาตเม้นถึงป้ายรถเมล์ห่างไม่กี่เมตร ถ้าเดินปกติก็จะถึงภายในไม่กี่นาที แต่วันนี้มันเปลี่ยนไป

“นายทำงานอะไรน่ะ” เขาพยายามชวนอีกฝ่ายคุย เพราะบรรยากาศมาคุเหลือเกิน

“อินเทอร์เน็ตคาเฟ่”

“หือ? ฟังดูเหมือนเป็นงานพาร์ทไทม์เลยนะ นายทำกี่อย่างเนี่ย”

“ฟูลไทม์ต่างหาก ฉันเป็นเจ้าของร้าน”

เขาพยักหน้ารับรู้ และไม่ได้ถามอะไรต่อ จนกระทั่งถึงป้ายรถเมล์

“นี่ ไอ้ประโยคภาษาเกาหลีที่นายพ่นใส่ฉันเมื่อคืนน่ะ ฉันรู้แล้วนะว่ามันแปลว่าอะไร”

เขาเงยหน้ามองอีกฝ่ายทันที

น่าแปลกที่ใบหน้าของอีกฝ่ายไม่ได้ดูน่ากลัว ไม่ได้คิ้วขมวดหรือหน้าบูดแบบที่เคยทำอีกแล้ว แต่ก็ไม่ได้ยิ้ม เอ้ะ หรือกำลังยิ้มนิดๆ อยู่กันนะ

“ช่างมันเหอะน่า ลืมมันไปซะเถอะ” เขาละล่ำละลักบอก

อีกฝ่ายเงียบไปนิดหนึ่ง

“ไม่ลืมหรอก”

“?”

“เพราะตั้งแต่ฉันเกิดมา นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนพูดแบบนี้กับฉัน”

“!!?”

เหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุน สรรพเสียงรอบตัวเงียบกริบแม้ยังเคลื่อนไหว ตอนนี้เขาได้ยินแต่เสียงของนิวท์เท่านั้น เสียงที่ออกมาจากริมฝีปากสีแดงเล็กๆ นั่น

“เพราะงั้น…… 사랑합시다 (ซา ราง ฮับ ชี ดา)”

เป็นคำบอกรักที่น่าฟังที่สุดในโลก เขาเผลอยิ้มออกมาทุกครั้งเมื่อนึกถึง แม้อีกฝ่ายจะออกเสียงเพี้ยนไปสุดขอบโลก แต่มันก็ยังก้องอยู่ในหัวใจของเขาตลอดเวลา

 

fin

 

 

 

 

{Titan-OS} Empty (Jean x Eren)

{Titan-OS} Empty (Jean x Eren)

Title : Empty

Author : rainyday515

Pairing : Jean x Eren

Rate: PG

เสียใจ…

ตั้งแต่เกิดมา เพิ่งเคยรู้สึกแบบนี้…

ความรู้สึกที่เหมือนไม่มีใครอีกแล้ว ความอบอุ่นในหัวใจได้หายไป

หายไปพร้อมๆกับภาพนั้นที่เขาบังเอิญผ่านมาเห็น..

ร่างไร้วิญญาณของมัลโก้…

เขาแทบอยากร้องตะโกนออกมาดังๆว่าเขาเสียใจ ถ้าทำแบบนั้นบางทีอาจรู้สึกดีขึ้นมานิดหน่อยก็ได้ แต่ตอนนี้เขาคือจุดรวมสายตาของทุกคน ไม่ว่าจะเป็นซาช่า โคนี่ หรือแม้แต่แอนนี่ที่เก่งมากก็ตาม เขาเหมือนกลายเป็นหัวหน้ากลายๆไปแล้ว ถ้าหัวหน้าดันแสดงท่าทางอ่อนแอให้เห็น มันคงไม่เหมาะเท่าไหร่ เขาจึงต้องแอบลุกขึ้นมาตอนดึก มานั่งมองกองไฟเงียบๆอยู่อย่างนี้ ไม่แม้แต่จะทำอย่างที่ใจคิด

“มานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้น่ะ”

เขาสะดุ้งก่อนหันไปมองทางต้นเสียง เอเลน เยเกอร์ เดินพยุงร่างของตัวเองค่อยๆตรงมาที่เขานั่งอยู่ อาการบาดเจ็บจากที่กลายร่างเป็นไททันคงยังไม่หายดี

จริงสิ หมอนี่จู่ๆก็กลายเป็นไททันขึ้นมาซะอย่างนั้น…

ยังไม่ทันที่เขาจะพูดอะไร หมอนี่ก็ถือวิสาสะนั่งข้างๆเขา พลางจ้องมองไปยังกองไฟเหมือนที่เขาทำก่อนหน้า

“เสียใจด้วยนะ เรื่องมัลโก้น่ะ”

อา ทั้งที่ปกติชอบทำหน้าตากวน และพูดจนแขวะเขาอยู่เรื่อย ทำให้เราสองคนไม่ค่อยลงรอยกันเท่าไหร่ แต่ตอนนี้…จะว่าไป การที่คนที่นั่งอยู่ข้างๆเขาจู่ๆกลายเป็นไททันขึ้นมานั้น มันคงเป็นเรื่องที่เจ้าตัวก็คงช็อคไม่น้อย

“หมอนั่นก็ชอบทำอะไรเกินตัวแบบนี้แหละ” เขาตอบพลางกลั้วหัวเราะเบาๆ ทั้งที่เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาหัวเราะเลยด้วยซ้ำ

“ไม่จำเป็นต้องเก็กตลอดเวลาก็ได้ ปลดปล่อยมันออกมาบ้าง ความรู้สีกของแกน่ะ”

เหมือนชนักติดหลัง อีกฝ่ายพูดแทงใจเขาเข้าจังๆ ดวงตากลมโตสีดำตรงหน้าที่จ้องมองเขาอย่างจริงจังนั้น ไม่มีแววล้อเล่นอยู่เลย

“นายพูดอะไรน่ะ” อยากตบปากตัวเองที่ยังพูดจาเลอะเทอะอยู่เรื่อย

“พูดความจริงไง แทงใจดำแกใช่มั้ย ไม่จำเป็นต้องเก็บความรู้สึกนั้นไว้ ระบายมันออกมาสิ แกไม่ใช่หัวหน้าหน่วยนะเว้ย ไม่จำเป็นต้องเก็กเพื่อใคร”

“เอเลน แกมาที่นี่เพื่อจะพูดเรื่องนี้กับฉันเรอะ? กลับไปซะเถอะ หัวหน้ารีไวคงไม่ปล่อยแกไว้แน่ ออกมาเดินท่อมๆกลางดึกแบบนี้——”

“มองหน้าฉันสิ…”

“!?”

“แจน…”

เงยหน้ามองอีกฝ่าย ดวงตาสีดำขลับนั้นเหมือนมีแรงดึงดูดอย่างประหลาด เขาเผลอสบตาดวงนั้นอยู่นานหลายวินาที ก่อนอีกฝ่ายจะยอมเปิดปากพูด

“ไม่ใช่แกคนเดียวที่รู้สึกแบบนี้ เข้าใจมั้ย”

มือบางเยียบเย็นของอีกฝ่ายค่อยๆเอื้อมขึ้นมาสัมผัสแก้มของเขา มือหยาบ ทว่านุ่มนวลที่ไม่รู้ผ่านอะไรมานักต่อนัก นิ้วโป้งเล็กๆค่อยๆเกลี่ยน้ำตาของเขาที่กำลังก่อรื้นขึ้นช้าๆ ปล่อยให้คนตัวเล็กกว่าถือวิสาสะสัมผัสใบหน้าของเขาอยู่อย่างนั้นจนพอใจ

ไม่มีคำพูดอะไรระหว่างคนสองคนอีก…

เสียงปุปะของกองไฟที่กำลังปะทุ เสียงสายลมพัดยามดึก ความเสียใจของเขาถูกเติมเต็มด้วยร่างของคนตัวเล็กกว่า สองแขนโอบร่างเล็กของอีกฝ่ายเข้าหาตัวช้าๆ เอนหัวซบลาดไหล่ที่เล็กกว่าอย่างเด็กหาที่พึ่ง หยาดน้ำตาไหลออกมาโดยที่ไม่สามารถหยุดมันได้

ขอบคุณนะ เอเลน…

.

.

.

แสงแดดวันนี้เป็นประกายเจิดจ้ากว่าทุกวัน เหล่าทหารทีมสำรวจต่างยุ่งอยู่กับภารกิจสำรวจนอกกำแพงที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้งในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า แจน กิลชูไตน์ตื่นเช้ามาพร้อมกับความสับสน เหตุการณ์เมื่อคืนนั้นเป็นเรื่องจริงหรือฝันกันแน่ ขอบตาดำบ่งบอกเป็นอย่างดีว่าเขานอนไม่หลับเลยแม้แต่นาทีเดียว แต่กระนั้นเขาก็ยังกระตือรือร้นที่จะลุกขึ้นมาปฏิบัติภารกิจในวันนี้ แม้จะยังดูงงๆอยู่ก็ตาม

“แจน ทำไมหน้าดูซีดเซียว ขอบตาดำปื้นแบบนั้น นอนไม่หลับเหรอวะ” โคนี่ตีหลังเขาดังป้าบ ก่อนทุกคนจะเข้ามารุมล้อมถามไถ่สารทุกข์สุขดิบเขาระงมไปหมด จนกระทั่ง…

“แจน..”

เสียงเรียกของใครบางคนที่กอดเขาค่อนคืน พลันหัวใจก็เต้นผิดจังหวะ

“หัวหน้ารีไวเรียกแกแน่ะ”

เขาปลีกตัวจากทุกคนมุ่งตรงไปหาอีกฝ่ายอย่างงุนงง แล้วเดินไปยังห้องทำงานของหัวหน้ารีไวพร้อมกัน

วูบหนี่งในความคิด เขาอยากจะถามอีกฝ่ายว่าเมื่อคืนมันเป็นเรื่องจริงหรือความฝัน เพราะสีหน้าคนตัวเล็กกว่าดูจะเรียบเป็นปกติซะเหลือเกิน

แต่แล้ว…

จู่ๆ ก็มีมือร้อนของใครบางคนถือวิสาสะฉวยมือของเขาไปจับไว้ แทบไม่ได้มองหน้าเขาเลยด้วยซ้ำ กระชับมือที่จับมือเขาอยู่แน่นขึ้น รอยสีชมพูเล็กๆเจืออยู่บนแก้มสีขาวของเอเลน

ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรอีก..

ถือเป็นรอยยิ้มแรกในรอบหลายวันของแจน กิลชูไตน์..

fin

[sf] Nothing Better – MarkJr.

[sf] Nothing Better – MarkJr.

PS.เพลงประกอบฟิกค่ะ ลองจิ้มไปฟังดูนะคะ เปิดคลอเบาๆไปพร้อมๆกับการอ่านด้วยยิ่งดีเลย 😀

 

markjr how to love

 

“คนไข้มีอาการความจำเสื่อมชั่วคราวครับ…”

 

สิ้นเสียงของหมอ ร่างของเขาแทบทรุดนั่งลงไปบนพื้น ถ้าไม่ติดว่าแม่ของผู้ป่วยทรุดลงไปก่อนเขาแล้วล่ะก็ เขาก็คงไม่ต่างกัน

 

เขาค่อยๆ พยุงร่างของผู้เป็นมารดาแท้ๆ ของผู้ป่วยความจำเสื่อมให้นั่งลงบนเก้าอี้หน้าห้องพักฟื้น น้ำตาของเธอรื้นขึ้นเล็กน้อย เขาทำได้แค่พูดให้กำลังใจเธอเท่านั้น

 

“ไม่เป็นไรนะครับคุณน้า คุณหมอบอกว่าเป็นแค่ชั่วคราวเท่านั้น จินยองจะกลับมาจำทุกอย่างได้เหมือนเดิมครับ เชื่อผมนะ”

 

ผู้เป็นมารดาพยักหน้าพร้อมดึงมือของเขาไปกุมไว้แนบอก ริมฝีปากพร่ำพรรณนาถึงลูกชายที่กำลังนอนป่วยอยู่

 

“ถ้าน้าไม่ได้ลูกช่วยไว้ล่ะก็ จินยองของน้าต้องแย่แน่ๆ เขาต้องแย่แน่ๆ” น้ำเสียงสั่นเทาเฝ้าขอบคุณเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกระทั่งพยาบาลให้สัญญาณว่าสามารถเข้าไปเยี่ยมได้แล้ว เขาจึงค่อยๆ พยุงร่างอันสั่นเทาเข้าไปในห้องพักฟื้นผู้ป่วย

 

ปาร์คจินยองมีสีหน้าซีดเซียว ริมฝีปากที่เคยอมชมพูและมีรอยยิ้มสดใสประดับใบหน้าเสมอนั้น บัดนี้ไม่เหลือแม้แต่น้อย ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้สึกตัวนานแล้ว และเมื่อเห็นผู้เป็นมารดาแท้ๆเดินตรงเข้ามา อีกฝ่ายก็ทำแค่ยิ้มมุมปากให้เท่านั้น

 

ทำยังไงจินยองถึงจะกลับมายิ้มได้เหมือนเดิม

 

 

“หิวมั้ย แม่ซื้อขนมของโปรดลูกมาฝากด้วยนะ” ผู้เป็นเป็นแม่กระวีกระวาดจัดขนมใส่จานอย่างเร่งรีบ ในขณะที่ผู้ที่เป็นลูกชายยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย ก่อนจะพุ่งความสนใจมายังตัวเขา

“…นั่นใครครับ?”

 

จินยองเอ่ยถามมารดาเสียงเรียบ ก่อนจะพยักพเยิดมาทางเขา

 

“พี่มาร์คไงลูก เขากลับมาจากอเมริกาได้ปีกว่าๆ แล้วล่ะ เขาอยู่ใกล้บ้านเราไง ผมสีแดงเด่นขนาดนี้ ลูกต้องจำได้แน่ๆ เขาเป็นคนช่วยลูกไว้นะจินยอง ขอบคุณพี่เขาสิจ๊ะ”

 

ปาร์คจินยองยังไม่ละสายตาไปจากเขา กลับจ้องหน้าเขาเหมือนต้องการจะค้นหาอะไรบางอย่าง ริมปีฝากเผยคำขอบคุณเสียงแผ่วเบา ก่อนจะละสายตาไปมองขนมสีสวยบนจานแทน

 

หลังจากนั้นราวยี่สิบนาที ภายในห้องเหลือแค่เขาและผู้ป่วยเท่านั้น

 

“พรุ่งนี้คุณน้าจะมาเยี่ยมนายอีกครั้ง  อยากได้อะไรฝากบอกพี่ได้นะ เดี๋ยวพี่ไปบอกคุณน้าให้”

 

“เดี๋ยวผมโทรไปหาแม่เองก็ได้” อีกฝ่ายตอบเสียงเรียบ

 

เขาพยักหน้าให้แล้วหย่อนตัวลงนั่งบนโซฟา แทนที่จะนั่งบนเก้าอี้เยี่ยมที่อยู่ใกล้เตียงกว่า

 

จินยองยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย ซึ่งเป็นสีหน้าที่หาได้ยากยิ่งนัก เดาไม่ออกเลยว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่  เป็นสีหน้าที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนจากคนๆนี้ ปกติจินยองมักจะส่งยิ้มทักทายให้เขาเสมอ ยิ้มที่ยิ้มจนตาหยีแบบนั้น มันทำให้เขาตกหลุมรักเข้าอย่างจัง

 

 

ทำยังไงจินยองถึงจะกลับมายิ้มได้อย่างเดิมนะ

 

 

 

“ก่อนหน้านี้ผมเป็นคนยังไง ก่อนที่จะโดนรถชนน่ะ”

 

“นายเป็นคนยิ้มเก่ง” เขาตอบแทบจะทันที เพราะรอยยิ้มเป็นจุดเด่นของจินยอง หรือเป็นเพราะเขาอยากเห็นกันแน่นะ

 

จินยองเลิกคิ้วแต่ยังไม่เปลี่ยนสีหน้า ก่อนจะถามต่อ

 

“แล้วผมมีเพื่อนเยอะมั้ย? มีแฟนมั้ย?”

 

คำถามนี้ทำเอาเขาชะงักไปนิด “นายมีเพื่อนเยอะ ส่วนแฟน…”

 

เขาเว้นวรรคแล้วสังเกตดูสีหน้าของอีกฝ่ายที่ดูเหมือนจะลุ้นเอาคำตอบจากเขาเต็มที่ ก่อนจะพยักหน้าให้แรงๆ

 

“…มีสิ นายเคยพาเขาไปเล่นที่บ้านนายบ่อยๆด้วยนะ”

 

“แล้วไหนล่ะ ไม่เห็นจะมีใครมาเยี่ยมสักคน ทั้งเพื่อนทั้งแฟน มีแต่แม่”  จินยองเอ่ยแทบเป็นเสียงกระซิบด้วยสีหน้าหมองจนเขารู้สึกเป็นห่วงขึ้นมา หรือเขาควรจะ…

 

“นี่ไงครับ แฟนนายนั่งอยู่นี่ไง”

 

ปกติเขาไม่ใช่คนปากไวกว่าความคิดเลย แต่ทำไมวันนี้ ณ เวลานี้ถึงเป็นแบบนี้

 

จินยองอึ้ง พลางชี้มือมาทางเขา “แต่พี่เป็นผู้ชาย!”

 

“ไม่เกี่ยวหรอกว่าจะเพศอะไร แต่รักก็คือรัก และพี่รักนาย”

 

“!!!”

 

เงียบกันไปชั่วอึดใจ

 

เขาอยากตบปากตัวเองซะให้รู้แล้วรู้รอด ในความเป็นจริง เขาไม่ใช่แฟนของจินยอง มันเป็นแค่รักข้างเดียวเท่านั้น ทำไมถึงอาศัยช่วงที่อีกฝ่ายความจำเสื่อมทำบ้าอะไรแบบนี้

 

“ผมจำไม่ได้เลย ผมขอโทษ”

 

ยิ่งอีกฝ่ายก้มหน้าสำนึกผิดแบบนี้ เขายิ่งรู้สึกสงสารและรู้สึกผิด ผุดลุกขึ้นยืนพาร่างของตัวเองไปยืนอยู่ริมเตียงผู้ป่วย มือเอื้อมไปสัมผัสผมสีดำนุ่มที่ดูยุ่งเหยิงนั่นแผ่วเบา

 

เขาไม่กล้าทำอะไรมากไปกว่านี้หรอก

 

“ไม่เป็นไรหรอก เรามาเริ่มต้นกันใหม่นะ”

 

ตอนนี้ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีไหน ขอแค่ให้จินยองยิ้มได้อีกครั้ง เขาก็ยินดีทำ

 

.

 

.

 

.

“คนเป็นแฟนกันนี่ เขาต้องทำยังไงบ้างเหรอครับ?”  จู่ๆจินยองก็ถามขึ้นมาหลังจากที่กินข้าวเช้าอิ่มแล้ว

 

เป็นโจ๊กหมูสับแสนอร่อยฝีมือมารดาที่อุตส่าสละเวลางานเอามันมาให้ลูกชายตั้งแต่เช้า พร้อมฝากให้เขาดูแลจินยองอย่างเต็มที่ ซึ่งถึงไม่ฝากเขาก็เต็มใจจะดูแลอยู่แล้ว

 

เพราะตอนนี้ เราสองคนเป็นแฟนกันแล้ว..

 

“ทำไมจู่ๆถึงถามแบบนั้นล่ะ?” เขาเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม

 

จินยองมีสีหน้าอ่อนลงกว่าเมื่อวานมาก เขาวางนิตยสารกีฬาลงบนโต๊ะ เลื่อนเก้าอี้เยี่ยมมานั่งใกล้อีกฝ่ายข้างๆเตียงผู้ป่วย ยื่นยาหลังอาหารพร้อมแก้วน้ำไปให้

 

อีกฝ่ายรับมันมากินอย่างว่าง่าย ก่อนตอบคำถาม

 

“ผมไม่รู้ว่าควรทำตัวยังไง เวลาเป็นแฟนกับผู้ชาย”

 

นั่นทำให้เขาหลุดหัวเราะออกมา อีกฝ่ายมองค้อนเขานิดๆ ก่อนจ้องเหมือนต้องการคำตอบเดี๋ยวนี้เวลานี้

 

“ทำตัวเป็นปกติแบบที่เป็นอยู่นี่แหละ ไม่ต้องฝืนทำอะไรที่ไม่เป็นตัวเองหรอก”

 

อีกฝ่ายยังคงจ้องเขาอยู่อย่างนั้น “ผมไม่เข้าใจ พี่อธิบายใหม่เถอะ เมื่อก่อนตอนที่เราคบกัน เราทำอะไรด้วยกันบ้าง”

 

จะให้เขาตอบทันทีได้ยังไง ในเมื่อเขาก็ยังไม่รู้ เรื่องของเราที่ว่าน่ะ มันไม่มีเลยด้วยซ้ำ เขานั่งมืดแปดด้าน อีกฝ่ายก็เร่งจะเอาคำตอบให้ได้

 

“นายมักจะเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้พี่ฟังเสมอ เล่าไปด้วย ก็ยิ้มและหัวเราะไปด้วย พี่มักจะเป็นผู้ฟัง แต่พี่ก็เต็มใจนะ”

 

มันช่วยอะไรไหมเนี่ย

 

“ฟังดูเหมือนพี่จะหาว่าผมเป็นคนพูดมากนะ” พูดจบก็จ้องหน้าเขาใหญ่ ถึงไม่ได้ยิ้ม แต่ทำหน้าตาแบบนี้ก็น่ารักไปอีกแบบ

 

หลุดขำก่อนพยักหน้า “ใช่ นายพูดเยอะมาก นายเป็นคนร่าเริงสดใส พี่หวังว่านายจะกลับมาสดใสอีกครั้ง”

 

ถ้าเขาตาไม่ฝาด เขาแอบเห็นอีกฝ่ายอมยิ้มเล็กๆนะ

 

.

 

.

 

.

 

 

ทำยังไงจินยองถึงจะกลับมายิ้มได้อย่างเดิม

 

ความคิดนี้วนเวียนอยู่ในหัวของเขามาตลอดทั้งสัปดาห์เขาไม่ใช่คนพูดเก่ง ที่จะเล่าเรื่องตลกให้อีกฝ่ายฟังแล้วหัวเราะได้ ไม่ใช่คนทะเล้น ออกจะเงียบๆด้วยซ้ำ เขาไม่เคยเกลียดที่ตัวเองเป็นคนแบบนี้มาก่อน เขาอยากให้จินยองยิ้มอย่างสดใสได้ในเร็ววัน แต่หนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา กลับไม่มีอะไรดีขึ้นเลย จินยองยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย ไม่ค่อยชวนเขาคุย มักจะถามคำตอบคำ

 

ทำยังไงจินยองถึงจะกลับมายิ้มได้อย่างเดิมนะ

 

เป็นเพราะเขาเหม่อไปหน่อย จู่ๆจินยองก็เลิกผ้าห่มขึ้น ค่อยๆพาตัวเองลงมานั่งที่โซฟาข้างๆเขา เขาวางนิตยสารลงก่อนมองอีกฝ่ายด้วยความแปลกใจ

 

“พี่มาร์คคิดอะไรอยู่ ทำไมวันนี้ไม่ชวนผมคุยเลยล่ะ”

 

วันนี้เขาได้เห็นใบหน้าของจินยองชัดขึ้นกว่าที่ผ่านมา ผมเผลอมองใบหน้าติดน่ารักนั้นอย่างเผลอไผล จนอีกฝ่ายต้องถามย้ำอีกครั้ง

 

“เห็นแม่บอกว่าพี่เพิ่งกลับจากอเมริกา พี่ไปทำอะไรที่นั่น? เล่าเรื่องสนุกๆที่นั่นให้ผมฟังสิ บางทีผมอาจจะนึกเรื่องของพี่ออกก็ได้นะ”

 

เขาเผลอยิ้มให้กับความคิดน่ารักๆของอีกฝ่าย ก่อนพูดกับตัวเองว่าให้ตายยังไงก็นึกไม่ออกหรอก เพราะเขาไม่เคยเล่าให้ฟังมาก่อน

 

 เพราะเมื่อก่อนเราไม่ได้เป็นแฟนกัน..

 

 

ถ้าจู่ๆ ความทรงจำของจินยองกลับมาแล้วล่ะก็ เขายังหาคำตอบไม่ได้เลยว่าควรจะแก้ตัวกับอีกฝ่ายยังไง อีกฝ่ายจะหาว่าเขาบ้าไหม จะหาว่าเขาสติไม่ดีหรือเปล่า

 

ตอนนี้อย่าไปคิดเรื่องนั้นดีกว่า

 

เขาค่อยๆเล่าเรื่องราวของตัวเองสมัยเรียนที่อเมริกาให้อีกฝ่ายฟัง ถึงไม่ได้เป็นเรื่องที่สนุกหรือตลกอะไร แต่แค่จินยองสนใจในสิ่งที่เขาเล่า ตั้งใจฟังตลอดแบบนี้ แค่นี้เขาก็ดีใจแล้ว

 

“พี่พูดภาษาเกาหลีเก่งนะเนี่ย”

 

พูดจบก็เอนหัวมาซบไหล่เขาซะอย่างนั้น ยังไม่ทันที่เขาจะพูดอะไร อีกฝ่ายก็พูดต่อ

 

“ผมเพิ่งรู้ว่าการทำแบบนี้กับใครสักคน มันจะอบอุ่นขนาดนี้…”

 

เหมือนแม่เหล็ก เขาค่อยๆเลื่อนมือไปคว้ามืออีกฝ่ายมากุมไว้หลวมๆ ก่อนจินยองจะกุมมือเขาตอบจนแน่นขึ้น รู้สึกได้ถึงชีพจรที่เต้นดังอยู่ในมือที่เราสองคนกำลังกุมกันอยู่

 

เขารู้สึกว่าเขารักจินยองมากกว่าที่ผ่านมาซะอีก ถึงแม้ตอนนี้เขาจะไม่สามารถมองเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายได้ แต่แค่มือที่กำลังกุมมือเขาตอบแน่นแบบนี้ แค่นี้ก็ถือเป็นคำตอบที่ชัดเจนมากแล้ว

 

 

ว่าจินยองก็คิดไม่ต่างกัน

 

.

 

.

 

.

 

เขาต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ นายถูกรถชนจนเป็นบ้าไปแล้วเหรอปาร์คจินยอง! นายหลอกพี่ชายที่แสนใจดีแบบนี้ได้ยังไง นายใจร้ายมาก นายเป็นคนใจร้ายมาก!

 

ถ้าอีกฝ่ายไม่รู้ตัวก็คงดี ว่าตอนนี้เขากำลังร้องไห้ จู่ๆน้ำตาก็รื้นขึ้นเต็มตาจนมองไม่ชัด ก่อนจะค่อยๆไหลลงอาบแก้ม เขาว่าเขาเผลอบีบมืออีกฝ่ายแน่นขึ้นอีกแล้วแน่ๆ

 

‘ขอร้องล่ะ อย่าเพิ่งรู้ตัวเลยนะครับ ผมขออยู่อย่างนี้ต่ออีกนิด แค่ตอนนี้ แค่อย่าปล่อยมือผมไปก็พอ’

 

.

 

.

 

.

 

 

ย้อนกลับไปสัปดาห์ก่อน

 

“คุณว่าอะไรนะครับ? จะให้ผมบอกทุกคนว่าคุณความจำเสื่อม?”

 

เขาพยักหน้าอย่างเด็ดเดี่ยว ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ

 

“ขอร้องล่ะครับ จนกว่าแผลต่างๆบนร่างกายของผมจะดีขึ้นจนออกจากโรงพยาบาลได้ก็พอ ผ้าที่หัวก็ไว้อย่างนี้แหละครับ ไม่ต้องเอาออกหรอก”

 

“คุณจะโกหกแม่ของคุณได้เหรอ คุณไม่รู้เหรอว่าถ้าผมบอกแม่คุณไปแบบนี้ ท่านจะเสียใจแค่ไหน”

 

คุณหมอเอ่ยเสียงเครียด

 

“ผมรู้น่า ผมจะบอกแม่เองหลังจากนี้ เชื่อผมเถอะครับหมอ ผมไม่ได้ต้องการจะโกหกแม่หรอก แค่อยากหนีไปให้ไกลๆเท่านั้น ขอร้องล่ะครับ”

 

คุณหมอมีท่าทีลำบากใจ แต่ก็ยอมตกลงทำตามที่เขาบอก

 

เขาตัดสินใจแน่แล้วว่าเขาจะทำแบบนี้ จะมีแค่แม่และคุณหมอเท่านั้นที่รู้ความจริง เขาจะไม่ติดต่อใครที่ไหนว่าเขาเกิดอุบัติเหตุ จะพักรักษาแบบนี้โดยที่ไม่ต้องการให้ใครหน้าไหนมาเยี่ยมทั้งนั้น โดยเฉพาะอิมแจบอม…

 

ความรักข้างเดียวของเขามันจบลงตั้งแต่วินาทีที่อีกฝ่ายบอกว่ามีแฟนแล้ว เธอเป็นผู้หญิงที่สวยและหุ่นดีมาก ที่สำคัญร้องเพลงเพราะมากด้วย

 

เขาก็แค่คนโง่คนนึงเท่านั้น ที่คิดหลงตัวเองว่าที่อีกฝ่ายมาสนิทด้วยนั้นคงจะคิดแบบเดียวกัน อีกฝ่ายเป็นผู้ชายที่ชอบผู้หญิง เขามันก็แค่ไอโง่คนนึงเท่านั้นแหละ

 

เขาตั้งใจจะบอกแม่หลังจากพยาบาลออกไปแล้ว แต่พี่มาร์ค พี่ชายข้างบ้านจะตามเข้ามาทำไม!?

 

เขารู้สึกผิดต่อแม่มาก แต่ก็หาโอกาสคุยกับแม่ตามลำพังไม่ได้เลย จนเขาทนไม่ไหวต้องขอตัวเข้าห้องน้ำ และเข้าไปบอกความจริงกับแม่ในนั้น

 

เขาก็รู้สึกขอบคุณพี่มาร์คที่อุตส่าช่วยเขา พาเขามาส่งโรงพยาบาลอย่างปลอดภัย แต่เขาอยากอยู่คนเดียว อยากคิดอะไรเงียบๆคนเดียว อยากจมอยู่กับตัวเองในที่อ้างว้างแบบนี้คนเดียว ไม่ต้องการใครทั้งนั้น

 

แต่แม่ชอบพี่มาร์คเอามากๆ แม่มักจะบอกเขาอยู่เสมอว่าพี่มาร์คเป็นคนน่ารัก สุภาพบุรุษ และอ่อนโยน จนกระทั่งเขาได้มารับรู้ด้วยตัวเองจริงๆ

 

จู่ๆพี่มาร์คก็บอกว่าเราสองคนเป็นแฟนกัน จริงๆแล้วเขาตกใจมาก แต่แค่พยายามเก็บความรู้สึกนั้นไว้ ก่อนจะปิดบทสนทนาโดยการพูดว่าขอโทษ

 

“ไม่เป็นไรหรอก เรามาเริ่มต้นกันใหม่นะ”

 

นอกจากแม่ ไม่เคยมีใครลูบหัวเขาแบบนี้มานานแล้ว

 

พี่มาร์คเป็นคนที่อบอุ่นอย่างที่แม่บอกจริงๆ

 

การที่เขาต้องมาโกหกพี่ชายข้างบ้านว่าความจำเสื่อมนั้น มันค่อนข้างแย่ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายก็โกหกเหมือนกันแบบนี้ ก็คงไม่เป็นไร ในเมื่อต่างฝ่ายต่างก็โกหกกัน อย่างน้อยก็ไม่รู้สึกผิดต่อกันมากนัก

 

เขากับพี่มาร์คไม่เคยพูดคุยกันจริงจังแบบนี้มาก่อน ก็แค่ทักทายกันเล็กน้อยเท่านั้น เรื่องที่อีกฝ่ายเคยเรียนที่อเมริกาก็รู้มาก่อนแล้ว แต่อีกฝ่ายไม่เคยเล่าเรื่องตัวเองในอดีตให้เขาฟังมาก่อน มันเป็นอะไรที่สนุกมาก ถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นคนพูดไม่เก่ง และมักจะใช้ศัพท์ยากๆ ผิดตลอดเวลาที่ต้องพูดอะไรยาวๆ มันน่ารักจนเขาอดจะอมยิ้มตามไม่ได้

 

เขาไม่เคยนึกถึงเหตุผลของอีกฝ่ายมาก่อนเลยว่าทำไมถึงต้องโกหกว่าเป็นแฟนกัน อาจเพราะสงสาร หรือเพราะคิดอะไรกับเขาจริงๆ

 

แต่เขาก็ไม่โง่พอที่จะหลงตัวเองแบบนั้นอีกแล้ว จนกระทั่งวันนี้ วันที่ได้ซบไหล่ วันที่ได้กุมมือกัน…เขาคิดไม่ผิดใช่ไหมว่าพี่มาร์คชอบเขาจริงๆ

 

และถ้าเขาจะรู้สึกแบบเดียวกันล่ะ?

 

 

.

 

.

 

.

 

เราสองคนสนิทกันอย่างรวดเร็วในอีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมา แผลต่างๆของจินยองค่อยๆดีขึ้นตามลำดับ สภาพจิตใจของเขาดีขึ้นกว่าเดิมมาก นั่นเพราะพี่ชายข้างบ้านคนนี้แท้ๆ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าแผนที่เขาวางไว้สำเร็จ ถ้าเขายังคงอยู่ในห้องอันอ้างว้างนี้คนเดียว…

 

“จินยอง คิดอะไรอยู่”

 

จู่ๆ พี่ชายข้างบ้านก็เข้ามาสวมกอดเขาจากด้านหลัง ส่ายหน้าช้าๆก่อนจะเอนพิงอกกว้างของอีกฝ่ายอย่างมีความสุข ไม่เคยรู้สึกอบอุ่นใจขนาดนี้มาก่อน เขาคงตกหลุมรักพี่ชายข้างบ้านที่แสนดีคนนี้เข้าจริงๆแล้วล่ะ

 

เสียงประตูห้องเปิดออกช้าๆ เขาผละลุกขึ้นนั่งทันทีโดยอัตโนมัติ ถ้าแม่มาเห็นในสภาพนี้คงไม่ดีเท่าไหร่ ก่อนจะลูบหน้าตัวเองด้วยความขวยเขิน วันนี้แม่จะซื้ออะไรมาฝากเขาอีกนะ

 

“จินยองอา! นายเกิดอุบัติเหตุทำไมไม่บอกพี่”

 

“!!!!”

 

เสียงนั้น อิมแจบอม…

 

“จินยองอา นายไม่เป็นไรใช่มั้ย? คุณหมอบอกว่านายความจำเสื่อมนี่? นายจำพี่ชายของนายได้มั้ย นายจำพี่ได้ไหมจินยอง!?”

 

แต่สายตาของเขาไม่ได้อยู่ที่ใบหน้าของอิมแจบอมเลยแม้แต่น้อย เมื่อเขาเหลือบไปเห็นหญิงสาวรูปร่างดีหน้าตาสวยมากคนหนึ่งยืนอยู่ด้านหลัง

 

“จินยองอา! ปาร์คจินยอง!” แจบอมยังคงตะโกนเรียกน้องชายคนสนิทของเขาอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งมาร์คเอ่ยเสียงเครียด

 

“พอแล้วครับ คุณหมอเพิ่งบอกไม่ใช่เหรอว่าจินยองความจำเสื่อม เขาจำคุณไม่ได้หรอกครับ”

 

“จำได้สิครับ ผมจำพี่ได้ อิมแจบอม พี่ชายที่ผมสนิทมาก”

 

!!!!

 

เขาคิดว่าตอนนี้แหละ ที่เขาควรจะบอกความจริงสักที เขาไม่ควรโกหกใครไปมากกว่านี้อีกแล้ว

 

“อะไรนะ นายจำพี่ได้เหรอ จินยอง นายจำพี่ได้ใช่มั้ย เยส! นายหายแล้วสินะ พี่จะไปบอกหมอให้มาเช็คดูอีกทีนะ” พูดจบก็ตั้งท่าจะออกจากห้องไป

 

“ขอบคุณมากครับพี่แจบอมที่มาเยี่ยมผม อาการผมดีขึ้นแล้ว หมอบอกว่าจะได้กลับบ้านเร็วๆนี้ พี่ไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอก กลับไปเถอะครับ”

 

“อะไรกัน ยังไม่ทันไรก็ไล่กันซะแล้ว นายเป็นอะไรไปน่ะ?”

 

“ผมสบายดี ตอนนี้ผมอยากพักผ่อน พี่ออกไปเถอะครับ ขอบคุณทั้งสองคนมากนะครับที่มาเยี่ยม หวังว่าเราจะสนิทกันมากกว่านี้นะครับ” ประโยคหลังเขายิ้มให้หญิงสาวอย่างจริงใจ ก่อนจะถือวิสาสะล้มตัวลงนอนหลับตาทันทีที่พูดจบประโยค

 

“กลับไปก่อนเถอะครับ” มาร์คเอ่ยเสียงเครียด แจบอมพยักหน้าก่อนจะเดินเข้ามาลูบผมคนป่วยเบาๆ

 

“หายไวๆนะเด็กดื้อ ไว้พี่จะมาเยี่ยมใหม่”

 

เมื่อห้องกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง เขาแอบถอนหายใจเบาๆ กับตัวเอง ก่อนจะเปิดเปลือกตามองสำรวจภายในห้องที่เงียบสงบนั้น

 

มาร์คยังคงยืนอยู่ที่เดิม เขาดูขรึมมากกว่าที่เคยซะอีก

 

“ผมขอโทษครับพี่”

 

“ความทรงจำกลับมาแล้วเหรอ” อีกฝ่ายถามเสียงเบาจนแทบเป็นเสียงกระซิบ เขาผุดลุกขึ้นนั่งทันทีที่ได้ยินเสียงนั้น

 

“เปล่าครับ มันไม่ได้กลับมาหรอก”

 

“นายหมายความว่ายังไง” พี่ชายข้างบ้านเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

 

“มันไม่เคยหายไปต่างหาก ความทรงจำของผมน่ะ”

 

“!!!!!”

 

“ขอโทษที่โกหกนะครับ พี่ไม่ต้องยกโทษให้ผมก็ได้”

 

ความเงียบโรยตัว ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรกันอีกเลยเป็นเวลานานหลายนาที จนกระทั่งคนเป็นพี่ชายเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน

 

 

“เจ็บมั้ย?”

 

จินยองเงยหน้ามอง “ครับ?”

 

“นายกำลังเจ็บ พี่รู้”

 

ว่าจะไม่ร้องไห้แล้วเชียว ทำไมต่อมน้ำตามันถึงได้ขยันทำงานขนาดนี้นะ ที่พี่ชายข้างบ้านพูดมันหมายความว่ายังไง

 

“พี่พูดอะไรน่ะครับ ผมไม่เข้าใจ”

 

ไม่ทันตั้งตัว มาร์คฉวยแขนเขาขึ้นมา ก่อนจะดึงร่างทั้งร่างของเขาเข้าไปกอดแนบอก น้ำตาไหลเป็นโจ๊กแล้วตอนนี้ เขาทำได้แค่ยืนร้องไห้เงียบๆในอ้อมกอดของอีกฝ่ายเท่านั้น

 

“ขออยู่อย่างนี้อีกแป๊บนึงนะ พี่รู้ว่ามันกำลังจะจบแล้ว แต่พี่ขอกอดนายอีกนิด”

 

“อะไรจบครับ? อ๋อใช่ พี่คงหมายถึงเรื่องของผมกับพี่แจบอม ใช่ครับ มันจบแล้ว ผมไม่มีอะไรติดค้างพี่เขาอีกแล้วล่ะ เราจะเป็นพี่น้องกันเหมือนเดิมครับ”

 

แต่จู่ๆอีกฝ่ายก็กอดเขาแน่นขึ้นจนเขาแทบหายใจไม่ออก และดูเหมือนว่าจะรู้ตัว จึงค่อยๆคลายกอดช้าๆ เราสบตากันแว่บนึง ก่อนเขาจะหลบตาไปมองบนไหล่อีกฝ่ายที่มันชื้นเพราะน้ำตาของเขา

 

“ไหล่พี่เปียกหมดเลย ขอโทษนะครับ” เขาหัวเราะก่อนเลื่อนมือไปบีบไหล่ที่เปียกนั้นเบาๆ

 

และ….

 

ไม่ทันตั้งตัว ริมฝีปากบางสวยของคนตรงหน้าก็เคลื่อนเข้ามาใกล้เขาช้าๆ ก่อนจะทาบทับลงบนริมฝีปากของเขาอย่างพอดี หลับตาลงรอรับสัมผัสอันอ่อนโยนของอีกฝ่ายอย่างไม่เร่งรีบ สองมือยกขึ้นมาแตะบริเวณไหล่ของอีกฝ่าย ก่อนจะรู้สึกว่าสัมผัสอันแผ่วเบาของคนที่แสนดีตรงหน้านั้นค่อยๆ เปลี่ยนเป็นกดย้ำจนหนักแน่นขึ้น ผละออกช้าๆ ต่างฝ่ายต่างสูดลมหายใจเข้าอย่างเต็มปอด ก่อนจมูกสวยได้รูปของคนหน้าตาหล่อเหลาตรงหน้าค่อยเคลื่อนเข้ามาใกล้อีกครั้ง สัมผัสครั้งนี้หอมหวานจนหัวใจเขาเต้นดังไปหมด จู่ๆเข่าเริ่มอ่อนแรงลงจนเผลอหย่อนก้นลงบนเตียง อีกฝ่ายปล่อยเขาเป็นอิสระอีกครั้ง ก่อนจะก้มลงตักตวงความหอมหวานจากใบหน้าที่แสนน่ารักนั่นจนหนำใจ ก่อนจะปิดท้ายด้วยการจูบหนักๆที่ขมับหนึ่งที แล้วผละออกมาซะอย่างนั้น จนอีกฝ่ายหลุดหัวเราะ

 

“พี่มาร์คก็มีมุมแบบนี้ด้วยนะ ฮ่าๆ”

 

คนเป็นพี่ชายข้างบ้านได้แต่ยืนเท้าสะเอวมองน้องชายนั่งหัวเราะใส่เขาอยู่อย่างนั้น โอเค เขายอมให้หัวเราะก็ได้ เพราะนี่เป็นสิ่งที่เขาอยากเห็นมานานแล้ว

 

รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของจินยอง

 

“ผมชอบพี่ครับ อยู่ด้วยกันอย่างนี้ตลอดไปนะ”

 

 

อย่างที่เขาคิดจริงๆ จินยองเหมาะกับใบหน้ายิ้มแย้มแบบนี้ที่สุดแล้ว ยิ้มที่ยิ้มจนตาหยี ยิ้มที่ยิ้มจนรอยต่างๆเต็มหางตาไปหมด

 

 

และมันเป็นยิ้มที่น่ารักที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอมา

 

 

 

fin

 

 

{LSK-FICTION} Kiss me darling (เทอร์มิส x ครีอุส)

{LSK-FICTION} Kiss me darling (เทอร์มิส x ครีอุส)

Title : Kiss me darling!~
Couple : เทอร์มิส x ครีอุส , ไอซอท x เฮฟเฟตัส
Rate : PG13


jhuhy8

 

หลายวันมานี้ข้าจำเป็นต้องออกไปจัดการกับอมนุษย์บ่อยเสียเหลือเกิน จู่ๆมีอมนุษย์มาเผ่นผ่านในเมืองลีฟบัดได้ยังไง มันไม่รู้บ้างเลยเหรอว่าที่นี่เป็นสถานที่ที่มีเทพอัศวินทั้งสิบสององค์อาศัยอยู่เชียวนะ! มันจะมากเกินไปแล้วที่เล่นโผล่มาไม่เว้นวันแบบนี้ มันทำให้ข้าต้องเสียพลังงานโดยใช่เหตุนะ! แถมฤดูนี้ยังไม่ใช่ฤดูของบลูเบอรี่และสตรอเบอรี่อีกต่างหาก มันทำให้ไอซอทไม่มีวัตถุดิบหลักในการทำขนมให้ข้า! แถมบลูเบอรี่และสตรอเบอรี่ยังเป็นรสชาติที่ข้าโปรดปรานมากที่สุดอีกต่างหาก เจ้าอมนุษย์ตัวเหม็นเขียวเอ๊ย!!! เอ็งไม่ตายดีแน่!!! (?)

หลังจากกลับมาจากการซัดเจ้าอมนุษย์ ข้าก็เหน็ดเหนื่อยสุดกำลัง ตัดสินใจมุ่งหน้าไปยังห้องของไอซอทเพื่อมาเอาขนมพายรสนม รสใหม่ของไอซอทที่เจ้าตัวเพิ่งแนะนำให้ข้าลองกิน เพราะว่าบลูเบอรี่และสตรอเบอรี่หายากเหลือเกิน ถึงจะถูกอกถูกใจข้าพอสมควร แต่ก็ยังสู้บลูเบอรี่และสตรอเบอรี่ไม่ได้อยู่ดี!

ข้าเปิดประตูเข้าไปโดยไม่ทันได้เคาะ สิ่งที่ปรากฏในสายตาข้า ไม่ใช่ไอซอทคนที่ข้าควรจะเห็น แต่กลับเป็นเทพอัศวินเฮฟเฟตัสแทน เขากำลังตั้งอกตั้งใจกับการกินคุ้กกี้กับน้ำชาตรงหน้าอยู่ พอเห็นข้ายืนอยู่ที่ธรณีประตู เขาก็ชะงัก

“เจ้ามาทำอะไรที่นี่น่ะครีอุส”

น้ำเสียงของเฮฟเฟตัสสูงขึ้นเล็กน้อย เหมือนเขากำลังพยายามจะหลบสายตาข้า

ข้าไม่ตอบ พลางเดินเข้ามาในห้อง ปิดประตูตามหลังและมองไปยังบรรยากาศรอบๆห้อง..

ไม่มีวี่แววของไอซอทเลย?

ข้าส่งยิ้มสว่างไสวไปให้เฮฟเฟตัส

“ข้าต่างหากที่ควรจะถามเจ้านะ เฮฟเฟตัสที่รัก”

เฮฟเฟตัสมีสีหน้าลำบากใจทันที เฮอะ! ก่อนหน้านี้ข้าดันไปเห็นเฮฟเฟตัสและไอซอทกำลังนั่งคุยกันอยู่ในสวนของตำหนักฝั่งขวา ถ้าเป็นบริเวณนั้นน่ะปลอดคน แถมยังเป็นสวนที่ปลูกต้นกุหลาบเยอะแยะอีกต่างหาก! ถ้าสองคนนั้นจะหารือกันเรื่องภารกิจโน่นนี่ ก็ไม่เห็นจำเป็นจะต้องไปนั่งคุยกันตรงนั้นเลยนี่นา แถมในตัวของทั้งคู่ยังมีออร่าสีชมพูเปล่งประกายจนน่าหมั่นไส้อีกต่างหาก มันคืออะไรกันนะ?

“ข้า..เจ้าไม่เห็นหรือ ข้ากำลังกินคุ้กกี้อยู่ ฝีมือของเทพอัศวินไอซอทใช้ได้เลยนี่ ข้าจะเข้ามากินบ่อยๆมันผิดตรงไหน”

ข้าเม้มปากพลางนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเฮฟเฟตัสที่ยังจ้องมองข้าด้วยความสงสัย ก็ข้ายังไม่ได้ตอบคำถามเขาเลยนี่นา

“ปกติเวลานี้เขากำลังทำขนมอยู่นี่ ภารกิจก็ไม่มีเสียด้วย เขาหายไปไหนนะ”

เฮฟเฟตัสขมวดคิ้วมากกว่าเดิม พลางจ้องมองข้าอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ

“ครีอุส..พูดแบบนี้แสดงว่าเจ้าเข้ามาหาเขาบ่อยสิท่า”

ข้าพยักหน้าตอบอย่างไม่ลังเล แน่สิ ก็ข้าจะมาเอาขนมส่วนของข้านี่!

ถึงตอนนี้เฮฟเฟตัสก็ลุกขึ้นยืนทันที

“เจ้ากล้าดียังไงถึงเข้ามาหาเขาถึงที่นี่ทุกวันน่ะ! เจ้ามี..เจ้ามีเทอร์มิสอยู่แล้วนะ!”

ข้าแกล้งทำเป็นตกใจนิดหน่อย ดูเหมือนความสัมพันธ์ของเฮฟเฟตัสกับไอซอทจะไม่ธรรมดาซะแล้ว เพียงแต่มันจะเหมือนกับความสัมพันธ์ของข้ากับแลนซ์หรือไม่ก็เท่านั้น

ข้าฉีกยิ้มอย่างใจเย็น

“ข้าไม่ยักรู้ว่าเจ้าจะโกรธมากขนาดนี้ เฮฟเฟตัสที่รัก ข้าไม่แย่ง ‘ของของคนอื่น’ หรอก!”

ข้าเน้นเสียงตรงคำว่า ของของคนอื่น เพื่อให้เจ้าตัวรู้ตัวเสียที ข้าไม่แย่งไอซอทไปจากเจ้าหรอก เจ้าเฮฟเฟตัสใจร้อนขี้หึง ข้ามีแลนซ์ของข้าอยู่แล้ว และแลนซ์ของข้าก็หล่อกว่าไอซอทด้วยนะ เขายิ้มให้ข้าบ่อยๆด้วย!

แต่ข้าไม่ได้พูดออกไปหรอก ข้าได้แต่ยิ้มแล้วเอ่ยต่อว่า

“เจ้าไม่ต้องคิดมากหรอก ข้าเป็นถึงเทพอัศวินครีอุสเชียวนะ ข้าไม่ทำให้เจ้าผิดหวังแน่ ข้ามาเอาขนมในส่วนของข้าน่ะ วันไหนที่ข้าไม่ได้กินขนมหวานละก็ ข้าจะต้องลงแดงตายแน่ เจ้าก็น่าจะรู้ดีนี่นา”

เฮฟเฟตัสถอนหายใจและนั่งลงตามเดิม ก่อนจะสะบัดหน้าด้วยความหงุดหงิด

“พอเจ้าพูดด้วยตัวเองว่า วันไหนที่เจ้าไม่ได้กินขนมจะลงแดงตาย ฟังแล้วมันดูแปลกพิลึกแฮะ”

ข้าเลิกคิ้ว

“เจ้าได้ยินมาจากไอซอทสิท่า…เขาพูดมากไหมเวลาอยู่กับเจ้า”

เฮฟเฟตัสมองข้างงๆ แต่ก็ตอบอ้อมแอ้ม

“อื้อ พูดเยอะสิ”

ดูเหมือนเจ้าตัวจะหน้าแดงไปแล้วเรียบร้อย ข้ามองเขายิ้มๆ

เฮฟเฟตัสที่รักในตอนนี้ช่างน่ารักน่าชังเสียจริงๆ ความรักเปลี่ยนแปลงไปได้ทุกอย่างจริงๆสินะ แต่ทำไมถึงไม่เปลี่ยน ‘คนคนนั้น’ กันละ!!!

ดูเหมือนว่าข้าจะทำหน้าบูดออกไปเด่นชัดจนคนตรงหน้าสงสัย

“เจ้าทะเลาะกับเทอร์มิสมาเหรอ”

ข้าส่ายหน้า และย้อนกลับ

“เจ้าทะเลาะกับไอซอททุกวันหรือเปล่า ข้าเห็นเจ้าชอบหัวเสียอยู่เรื่อยนี่”

เฮฟเฟตัสรีบตอบทันที

“เปล่า ไม่ได้ทะเลาะกันเลยตั้งแต่คบกันมา เขาทำให้ข้าใจเย็นขึ้นเยอะ…แล้วก็..”

ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะรู้ตัวเองแล้วว่าเผลอพูดอะไรออกไป จึงปิดปากเงียบโดยที่ยังพูดไม่จบเสียด้วยซ้ำ ตอนนี้ข้ารู้สึกอิจฉาสองคนนี้จริงๆ พวกเขาหวานกันเหลือเกิน แต่กับข้า!!! เทอร์มิสแทบจะไม่เคยบอกรักข้าด้วยซ้ำ!!! ไม่เคยบอกรัก ทั้งยังไม่เคยจูบข้าด้วย!!

คิดได้อย่างนี้ข้าจึงหลุดถามออกไป คำถามของข้าทำเอาเฮฟเฟตัสชะงักกึกทันที

“…เจ้าคบกับไอซอทมานานเท่าไหร่แล้ว พวกเจ้าเคยจูบกันหรือยัง?”

เฮฟเฟตัสตอบอึกๆอักๆ ไม่กล้าพูด แต่พอข้าจ้องเขม็ง เขาจึงยอมเปิดปาก

“…สองเดือนแล้วมั้ง..ส่วนเรื่องจูบ ราวสองสามครั้งแล้วล่ะ..”

ข้าลุกขึ้นยืนทันที

“ก็ดีนี่! เทอร์มิสไม่เคยจูบข้าเลยด้วยซ้ำ เราสองคนคบกับมาเกือบปีแล้วนะ! ทำไมล่ะ ข้าไม่มีเสน่ห์ขนาดนั้นเลยเหรอ ข้าไม่..ข้าไม่…ข้าจะทำไงดี!!”

เฮฟเฟตัสหน้าแดงเป็นลูกตำลึงสุก

“ใจเย็นน่าครีอุส ก็เทอร์มิสไม่ว่างนี่นา…”

“ไม่ว่างจูบข้าเนี่ยนะ! จูบไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำ แค่สองนาทีก็ถือว่าเป็นจูบแล้ว เขาจะไม่แม้แต่จูบข้าสักวินาทีเลยเชียวเหรอ!”

เฮฟเฟตัสดึงข้าให้นั่งลง

“เจ้ามาบ่นตรงนี้ก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก ไปบอกกับเจ้าตัวโน่น”

วินาทีนั้นเอง ประตูห้องก็เปิดออก พร้อมกับเสียงนุ่มของใครอีกคนเอ่ยขึ้นพร้อมกัน

“ชาคส์! ข้าขอโทษ ข้ามาช้าไปหน่อย..ข้า..ครีอุส?”

น้ำเสียงของไอซอทตอนพูดกับเฮฟเฟตัสนั้นเต็มไปด้วยความอ่อนโยน แต่พอเห็นข้าเขาก็กลับไปใช้เสียงเย็นชาตามเดิม ข้าผุดลุกขึ้นยืนทันที

“เอาล่ะไอซอท! ข้าแค่มาเอาขนมเท่านั้น ยื่นมาให้ข้าเร็วๆ ข้าจะได้กลับห้องสักที วันนี้ข้าเหนื่อยมามากแล้ว”

ไอซอทเดินไปหยิบถุงขนมที่ประทับตราประจำเทพอัศวินครีอุส แล้วยื่นมาให้ข้า ข้ารับไปถือไว้ พึมพัมขอบคุณก่อนจะเดินไปยังประตูห้อง โดยไม่วายทิ้งท้ายให้คู่รักหวานแหวว (จนน่าหมั่นไส้) ว่า..

“ขอให้พวกเจ้ามีจูบครั้งที่สี่ในสองเดือนอย่างมีความสุข ราตรีสวัสดิ์”

ข้าผลุนผลันออกจากห้องไป ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ถึงเวลาใช้คำว่าราตรีสวัสดิ์ด้วยซ้ำ นี่มันเพิ่งทุ่มเดียวเองนะ! ข้าเก็บถุงขนมเอาไว้ในอกเสื้อด้วยความทนุถนอม ก่อนจะเดินลากเท้าไปยังห้องของเทอร์มิส

น่าเศร้าใจยิ่งนัก ของข้าต้องพูดว่าจูบครั้งแรกในรอบปีต่างหาก ไม่สิๆ ต้องบอกว่า ยังไม่เคยจูบสักครั้งในรอบปีสิถึงจะถูกต้องที่สุด แต่ถ้าเรื่องนี้ไปถึงหูของพระสังฆราชกับอาจารย์ของข้าล่ะก็! ข้าต้องตายแน่ๆ ถึงข้าจะมั่นใจว่าอาจารย์ข้ากับอาจารย์ของเทอร์มิสจะจูบกันนับครั้งไม่ถ้วนแล้วก็เถอะ! แต่ถ้าพวกเขาได้ยินว่า เทพอัศวินครีอุสผู้เป็นประมุขของเทพอัศวินทั้งสิบสอง ‘อยากมีจูบที่หวานหอมร่วมกับคนรักเป็นที่สุด’ แล้วล่ะก็…มีหวังโดนปลดจากตำแหน่งโดยที่เก็บหอมรอมริบได้ไม่เท่าไหร่แน่ๆ

ข้าหยุดความคิดไร้สาระลงเมื่อมาถึงหน้าห้องของเทอร์มิส ข้าลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะตัดสินใจเคาะประตูห้องสองสามครั้ง

“…เจ้ามาทำอะไรที่นี่น่ะ?”

เทอร์มิสเอ่ยมาจากทางด้านหลังข้า ข้าตกใจมาก

“เจ้าไม่ได้อยู่ในห้องหรอกเหรอแลนซ์..?”

เทอร์มิสเม้มปากพลางพยักหน้า

“อื้อ…ข้าเพิ่งกลับมาจากภารกิจ และตอนนี้ก็มีงานเอกสารรอให้ข้าสะสางอยู่อีกเป็นตั้ง เจ้ามีอะไรก็รีบพูดมาเถอะ”

ดูสิดู! ดูปฏิกิริยาของเขาที่มีต่อข้า…

นี่เราสองคนเป็นคนรักกันแล้วจริงเหรอเนี่ย บรรยากาศมันต่างไปจากเฮฟเฟตัสและไอซอทมากเลยนะ สองคนนั้นมีออร่าสีชมพูลอยอยู่เต็มไปหมด ของข้ากับเทอร์มิสคงมีแต่สีเทาลอยวนไปมาซะละมั้ง

ข้าไม่ตอบ เอาแต่จ้องมองเทอร์มิสอยู่อย่างนั้น..

ไม่ใช่ว่าข้าอยากให้เขาจูบหรอกนะ ข้าแค่อยากได้ยินหรืออยากจะรู้เท่านั้นเอง ว่าเขาในตอนนี้ ‘รัก’ ข้าบ้างหรือเปล่า เขาไม่เคยพูดเลยสักครั้ง และข้าก็จำได้ตลอดว่าข้าพูดให้เขาฟังมาแล้วอย่างน้อยสิบครั้งต่อวันด้วย

เทอร์มิสถอนหายใจพลางเปิดประตูห้อง

“เจ้ากลับห้องไปก่อนเถอะ เดี๋ยวข้าสะสางงานเสร็จจะรีบตามไป….”

แล้วเทอร์มิสก็ปิดประตูใส่หน้าข้าทันที!

ไม่ใช่ว่าเขาแอบซุกหญิงงามเอาไว้ในห้องหรอกนะ ถึงไม่ยอมให้ข้าเข้าไปน่ะ! แต่พอนึกขึ้นได้ว่านี่คือเทอร์มิส ไม่ใช่ไทรอน ข้าจึงได้แต่เดินคอตกกลับห้องไป

ข้ากลับมานอนกลิ้งไปมาบนเตียงราวครึ่งชั่วโมง ประตูห้องก็เปิดออก ข้าไม่ได้ล็อคประตูก็เพราะเขา เผื่อเขามาหาข้าแล้วข้าจะได้ไม่ต้องลุกขึ้นไปเปิดประตูทั้งที่ยังนอนขี้เกียจอยู่บนเตียง เทอร์มิสหอบเอกสารมาด้วยกองหนึ่ง เขาเห็นข้านอนอยู่บนเตียงก็ไม่ได้พูดหรือแสดงท่าทีแปลกใจอะไร เขาเดินไปวางเอกสารลงบนโต๊ะ ก่อนจะนั่งลงขีดๆเขียนๆเอกสารบนโต๊ะตัวนั้นด้วย ไม่ได้หันมาพูดกับข้าแม้แต่คำเดียว

“แลนซ์ เจ้าไปสืบมาได้หรือยังว่าเพราะสาเหตุอะไรช่วงนี้ถึงมีอมนุษย์เกลื่อดกลาดนัก ข้าออกไปสู้กับมันทุกวันไม่ไหวหรอกนะ”

เทอร์มิสยังไม่หันมามองข้า และตอบกลับทั้งๆที่ยังนั่งอ่านเอกสารอยู่

“เจ้าถามผิดคนแล้ว เจ้าไม่ได้ออกไปถามพิงค์กี้หรอกเหรอ?”

ข้าครางเบาๆ

นั่นสินะ..ข้าถามผิดคนจริงๆด้วย

บทสนทนาของข้ากับแลนซ์ก็มีประมาณนี้ เรื่องงาน ภารกิจ งาน ภารกิจ แทบไม่ได้คุยเรื่องส่วนตัวเลย ข้าหงุดหงิดจนต้องกลิ้งไปมาบนเตียงอีกรอบสองรอบ

“เจ้าขี้เกียจขึ้นหรือเปล่าเกรเซียส…”

ถึงตอนนั้นแลนซ์เงยหน้าจากเอกสารมามองข้าแล้วล่ะ ข้าลุกขึ้นนั่งทันทีพลางปฏิเสธเขา

“เปล่านะ! ข้าไม่ได้ขี้เกียจ เพียงแต่วันนี้ข้าออกไปจัดการอมนุษย์ทั้งวันแล้วต่างหาก ข้าเหนื่อย ข้าอยากพักผ่อน”

ข้าแทบจะตบปากตัวเองที่พูดประโยคตะกี้ เพราะแลนซ์ลุกขึ้นยืนทันที

“..งั้นข้าก็จะไม่รบกวนการพักผ่อนของเจ้าล่ะ..”

ข้ารีบเรียกแลนซ์กลับมาแทบไม่ทัน เขายังคงจ้องมองข้าด้วยสายตาประมาณว่า เจ้าจะนอนก็นอนไปสิ เรียกข้าไว้ทำไม อะไรเทือกนั้น

“..เจ้าไม่รู้หรอกเหรอ ว่าการที่ได้พูดคุยกับเจ้าก็ถือเป็นการพักผ่อนของข้าเหมือนกัน..”

ข้าเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงปนความน้อยใจ เท่านั้นแลนซ์ก็ถอนหายใจทันที มองข้าด้วยสายตาอ่อนโยนขึ้น

“อือ..ข้ารู้ แต่ถ้าเจ้าเหนื่อยจริงๆก็น่าจะนอนพักผ่อน ไม่ใช่มานั่งงอนข้าอยู่แบบนี้ ข้าง้อเจ้าตลอดเวลาไม่ได้หรอก”

ข้าถึงยิ้มออก

แลนซ์รู้จักนิสัยข้าดี ไม่ใช่ว่าตอนนี้ข้างอนเขาหรอกนะ!

เพียงแต่ตอนนี้ข้าอยากจูบเขา เอ๊ย! ข้าอยากให้เขาจูบข้า เฮ้ยไม่ใช่!!!

“เจ้ารู้ใจข้าดีจริงๆ แลนซ์”

ข้าแสร้งทำเป็นยิ้มหวานให้เขา บางทีเขาอาจจะเข้ามาจูบข้าตอนนี้ก็ได้!

แต่นั่งฉีกยิ้มนานราวห้านาที แลนซ์ก็ยังคงนั่งเซ็นต์เอกสารอยู่ที่เดิม

นี่ข้าหวังอะไรจากแลนซ์ เทอร์มิส คนนี้เนี่ย!?

“แลนซ์ เจ้ารู้เรื่องของเฮฟเฟตัสกับไอซอทหรือยัง?”

แลนซ์เงยหน้าขึ้นมองข้าด้วยความสงสัยทันที

“เรื่องอะไร?”

ข้าว่าแล้วว่าเขาต้องไม่รู้

“..เฮฟเฟตัสกับไอซอทน่ะ พวกนั้นคบกันมาสองเดือนแล้ว และก็จูบกันแล้วสามครั้งด้วย ไม่สิ! ถ้ารวมวันนี้ก็เป็นสี่!!”

ถึงข้าจะไม่มั่นใจว่าหลังจากที่ข้าเดินออกจากห้องไอซอทมา พวกเขาจะจูบกันหรือเปล่าก็เถอะ แต่จูบกันในห้องส่วนตัวแบบนั้นปลอดภัยที่สุดแล้ว ถ้าเกิดชาวบ้านที่มาเข้าเฝ้าเทพอัศวิน เดินไปเห็นเทพอัศวินสองคนกำลังจุมพิตกันอย่างดูดดื่ม ทั้งยังเป็นผู้ชายทั้งคู่อีกล่ะก็ ข้าไม่อยากจะนึกต่อจริงๆว่าอะไรจะเกิดขึ้นหลังจากนั้น

แลนซ์มีสีหน้าแปลกใจ

“..งั้นเหรอ.? น่าแปลกนะที่เป็นสองคนนั้น”

เท่านั้นแหละ เจ้าตัวก็ก้มลงไปเซ็นต์เอกสารต่อ!!!

แลนซ์ เทอร์มิส!!!!!!!!! เจ้าช่วยมีปฏิกิริยามากกว่านี้หน่อยเซ่ะ!!!

ข้าโบกไม้โบกมือไปมาให้เขา แต่เขาก็ยังไม่รู้เรื่อง

“..เจ้าไม่แสดงความคิดเห็นอะไรหน่อยเหรอแลนซ์ แสดงความคิดเห็นน่ะ!”

ข้าโมโหจนควันออกหู!

คนของเขากับคนของข้ารักกัน ทั้งยังขึ้นชื่อว่าเป็นอริกัน แต่พวกเขาก็รักกัน มันไม่น่าแปลกไปหน่อยเหรอ?

“เจ้าต้องการอะไรกันแน่น่ะเกรเซียส?”

ในที่สุดเขาก็รู้จนได้ เขารู้ว่าข้าต้องการอะไรบางอย่างแต่ไม่กล้าพูด เขาจึงเอาแต่นั่งจ้องข้าอยู่อย่างนั้น ข้าก็ได้แต่นั่งเงียบ เพราะจะให้ข้าพูดออกไปได้ยังไงว่า ข้าอยากให้เจ้าจูบข้า จูบข้า จูบข้า!! พูดออกไปแบบนี้ได้ยังไงเล่า!

“..เจ้ารู้ไหมว่าพวกเขาจูบกันแล้วล่ะ…”

ข้าลดเสียงลงเล็กน้อย แลนซ์ไม่มีทีท่าแปลกใจเลย แต่กลับอมยิ้มเมื่อข้าพูดจบด้วยซ้ำ เขารู้แล้วเหรอว่าข้าต้องการอะไร?

“..เจ้าอิจฉาพวกเขาเหรอ?”

ข้าค้อนให้เขาวงใหญ่

“เปล่านะ..ใครจะไปอิจฉากัน ข้ากับเจ้ายังหวานกว่าพวกเขาอีก แล้วเจ้าก็หล่อกว่าไอซอทด้วย ข้าไม่อิจฉาเลยสักนิด!”

แลนซ์หัวเราะก่อนจะเอ่ยต่อว่า

“เจ้าพูดว่า เจ้ากับข้าหวานกว่าพวกนั้นอีกเหรอ..?”

พูดพลางก็หัวเราะพลาง สนุกจังเลยนะ!

แต่ข้าชักไม่แน่ใจแล้วสิ ว่าแลนซ์กับข้าใช่คนรักกันจริงๆหรือเปล่า สองคนนั้นแสดงออกและรู้ตัวกันอย่างชัดเจน จึงจูบกันได้อย่างไม่มีขัดเขิน แต่เราสองคน…ข้ากับแลนซ์ยังไม่มีอะไรมาเป็นพยานเลยด้วยซ้ำ ว่าเราสองคนคบกันแล้ว..แบบนี้ข้าไม่พูดประโยคตะกี้ออกไปยังดีเสียกว่า เพราะถ้าจู่ๆแลนซ์บอกว่า ‘เจ้ากับข้าหวานกว่าสองคนนั้นเนี่ยนะ เป็นไปได้ยังไง ในเมื่อเราไม่ได้เป็นอะไรกัน’ ไม่ก็เหน็บด้วยประโยคเจ็บๆว่า ‘ตัวเจ้าคนเดียวก็หวานกว่าสองคนนั้นไม่รู้กี่เท่าแล้ว ไม่ต้องเอาข้าไปเอี่ยวด้วยหรอก ถ้าเจ้ายังไม่ลดปริมาณความหวานในขนมน่ะ’อะไรเทือกนั้น

แต่พอได้ยินประโยคต่อมาของแลนซ์ ก็ทำเอาข้าเกือบหงายหลังตกเตียง!

“..เจ้ากับข้าหวานกว่าสองคนนั้นเหรอ..ก็คงงั้นมั้ง..เพราะถ้าข้าจูบเจ้าล่ะก็ ข้าต้องอดใจไม่ไหวทำอย่างอื่นต่ออีกแน่ ถ้าเป็นแบบนั้นงานข้าก็จะเสียทันที เพราะงั้นรอให้พวกเราเกษียนอายุก่อนนะ..”

รู้งี้ไม่ถามดีกว่า!!!

ถึงตอนนี้ข้าก็พูดอะไรไม่ออกแล้ว ได้แต่จินตนาการว่า ไอคำว่า ‘อดใจไม่ไหวทำอย่างอื่นต่อ’ ของแลนซ์นี่มันคืออะไรกัน

แล้ว…’เพราะงั้นรอให้พวกเราเกษียนอายุก่อนนะ’

ประเดี๋ยวก่อน!

งี้ก็แสดงว่ากว่าที่พวกเราจะจูบกันได้ก็ต้องรออีกสิบหกปีเหรอ!!

“ไม่นะแลนซ์ ข้าไม่อยากรออีกสิบหกปีหรอก ถึงตอนนั้นไม่รู้ว่าเฮฟเฟตัสกับไอซอทจะจูบกันเป็นกี่ร้อยครั้งแล้ว แต่ข้าก็อยากบ้างนี่!!! ข้าไม่อยากอดทนไปจนถึงตอนนั้นนะ!”

ข้าแทบจะปิดปากตัวเองไม่ทัน

แลนซ์จ้องมองข้าทันที แถมยังจ้องนานอีกด้วย

เขาคงจะช๊อคมากที่ข้าพูดอะไรออกไปแบบนั้น แต่ข้าแค่อยากจูบกับเจ้าตอนนี้มันผิดหรือไง

กฏเหล็กของข้าคือห้ามรักผู้หญิง แต่เจ้าไม่ใช่ผู้หญิงเสียหน่อย และข้าก็ไม่ใช่ผู้หญิงด้วย เพราะงั้นจะเสียความบริสุทธิ์ไปตอนนี้ก็ใช่ว่าจะเสียหายอะไรนี่!

แต่พอพูดถึงประโยคที่ว่า ‘อดใจไม่ไหวทำอย่างอื่นต่อ’ ของแลนซ์ ข้าก็เขินจัดจนทำอะไรไม่ถูกอีกครั้ง

พวกเรานั่งเงียบไปสักพักก่อนที่แลนซ์จะเป็นคนทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน

“..เจ้าอยากจูบข้าเหรอ?”

ข้าโบกมือไปมาพลางส่ายหน้าสุดชีวิต

“ไม่ๆๆๆ ไม่ใช่อย่างนั้นนะ! เจ้าเข้าใจผิดแล้วแลนซ์ ข้าแค่…ข้าแค่…”

“ข้าแค่อยากให้เจ้าจูบข้าบ้างก็เท่านั้น…เจ้าจะพูดแบบนั้นใช่ไหมเกรเซียส..”

ข้าก้มหน้างุด หยิบผ้าห่มขึ้นมาวางบนตักแก้เขิน

แต่พอได้ยินประโยคต่อมาของเขา ข้าก็ทิ้งผ้าห่มทันที

“..ไม่ได้หรอก ข้าบอกเจ้าไปแล้วว่างานข้าจะเสีย..เจ้าน่าจะเข้าใจนะ เพราะฉะนั้นอดทนไว้หน่อยเถอะ”

นี่เขาสั่งให้ข้าอดทนอะไรเนี่ย!?

ยังไม่ทันที่ข้าจะโต้ตอบอะไร ก็มีเสียงเคาะประตูดังลั่น

“ท่านหัวหน้าเทพอัศวินเทอร์มิส ท่านหัวหน้าอยู่ในนั้นหรือเปล่าครับ ท่านหัวหน้าเทอร์มิส!!!”

นั่นเป็นเสียงของเหล่าอัศวินในสังกัดของเทอร์มิสแน่ ข้ารีบลุกขึ้นยืนอย่างเรียบร้อย ก่อนที่แลนซ์จะเปิดประตู

พวกนั้นสองคนถลาเข้ามาในห้อง

“พระสังฆราชบอกให้ข้ามาเรียกท่านไปพบ ท่านหัวหน้า อย่างด่วนที่สุดด้วยครับ..”

แลนซ์พยักหน้า

“อือ ข้าจะรีบตามไป พวกเจ้าออกไปก่อนเถอะ”

ข้าอ้าปากค้างทันที..

ตาแก่นั่นขัดความสุขของข้าอีกแล้ว!!!

แลนซ์จัดกองเอกสารเข้าที่ด้วยความเร่งรีบ

“เกรเซียส กองเอกสารนี่ข้าจะกลับมาเอาพรุ่งนี้ เพราะวันนี้ข้าคงจะไม่กลับเข้ามาแล้วล่ะ แล้วเจอกันพรุ่งนี้…”

พูดจบก็ตั้งท่าจะเดินออกจากห้อง

ข้าจึงเรียกเขาเอาไว้ก่อนที่เขาจะเปิดประตูออกไป

“เดี๋ยวก่อนแลนซ์…แล้วข้าล่ะ?”

ประตูเปิดออก แลนซ์หันมามองข้า

“เจ้าเหรอ? เจ้าก็นอนพักผ่อนไปสิ ไม่ก็พอกหน้าอะไรของเจ้าไปซะ..”

พูดจบก็ก้าวเท้าออกจากห้อง ข้าจึงเรียกเขาไว้อีก

“เรื่องจูบล่ะ!!!!”

แลนซ์ชะงักฝีเท้า ก่อนจะหันมามองข้าอีกครั้ง

“เรื่องจูบของข้าล่ะ..”

น้ำเสียงของข้าอ่อนลงจนอีกฝ่ายถอนหายใจ

“เจ้านี่จริงๆเลย….”

ไม่ทันที่ข้าจะตั้งตัว แลนซ์ก้าวเท้ามายืนตรงหน้าข้า ก่อนจะก้มลงมาใกล้ๆ ข้าหลับตาปี๋อย่างมีความสุข แต่สิ่งที่ข้าได้รับกับเป็นการหอมฟอดใหญ่ๆตรงแก้ม

แต่นั่นก็ทำให้ข้าเขินจนต้องเอามือลูบมันเหมือนกันล่ะ

“..เอาไว้แค่นี้ก่อนนะ…ข้าต้องรีบไป..”

“เดี๋ยวสิแลนซ์……”

แลนซ์หันมามองข้าอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะพูดเสียงเบาสุดๆว่า

“..ข้ารักเจ้า…”

แล้วก็หุนหันออกจากห้องไปทันที…

ประตูห้องปิดลง พร้อมๆกับที่ร่างของข้าค่อยร่วงลงบนพื้น…

มือยังลูบแก้มด้านขวาที่แลนซ์ทิ้งรอยอบอุ่นเอาไว้ให้ แถมยังบอกรักข้าดื้อๆอีกแน่ะ

นับว่าวันนี้เป็นวันที่ข้าจะต้องจดจำไปตลอดชีวิตอีกวันหนึ่งเลยทีเดียว….

“..แล้วเรื่องจูบล่ะ???”

 

————————————————————————————–

 

{LSK-FICTION} ข้ารักเจ้า… (ไอซอทxเฮฟเฟตัส)

{LSK-FICTION} ข้ารักเจ้า… (ไอซอทxเฮฟเฟตัส)

ข้ารักเจ้า…

ไอซอท x เฮฟเฟตัส

 

7lsk1

 

 

 

ถึงแม้เทพอัศวินทั้งสิบสององค์จะถือเป็นกลุ่มเดียวกัน มีประมุของค์เดียวกันอย่างหัวหน้าเทพอัศวินครีอุส แต่ใครๆก็รู้ดีว่าฝ่ายเฮมิชกับกลุ่มโคลด์บลัดมักจะเป็นอริกัน ไม่มีทางที่ทั้งสองฝ่ายจะมาปรองดองกันได้ ทุกยุคทุกสมัยเป็นแบบนี้มาตลอดหลายสิบปีหลายร้อยปี

แต่บัดนี้ บุคคลที่เขาว่ากันว่าเป็นชายที่เยือกเย็นที่สุดในกลุ่มโคลด์บลัด กลับยืนอยู่ตรงหน้าข้า ถ้อยคำที่ไม่น่าจะเป็นไปได้กลับเอื้อนเอ่ยออกมาผ่านริมฝีปากสีชมพูที่แตะแต้มอยู่บนใบหน้าขาวไร้อารมณ์ของอีกฝ่าย

ถ้อยคำที่ทำให้ข้าถึงกับเข่าอ่อน

“เฮฟเฟตัส..เจ้าไม่เชื่อข้าเหรอ?”

ข้าเม้มปากแน่น

“เจ้าพูดอะไรออกมา รู้ตัวหรือเปล่า..ไอซอท?!”

ข้าเผลอปล่อยอาวุธตกลงบนพื้น ไอซอทจึงค่อยๆเดินเข้ามาเก็บอาวุธและยื่นมันให้ข้า ใบหน้าคมของเขายังจ้องมองข้า ใบหน้าไร้อารมณ์ที่เขาชอบทำบ่อยๆยังคงปรากฏเด่นชัดอยู่บนใบหน้าเขาตอนนี้ ข้าเอื้อมมือไปรับอาวุธมาถือไว้แน่นกลัวว่าจะหล่นลงไปอีก ก่อนจะพูดซ้ำ

“เจ้าต้องละเมอแน่ๆที่พูดอะไรแบบนี้..เฮอะ..จะเป็นไปได้ยังไง!”

ข้าสบถเบาๆก่อนจะหันหน้าไปทางอื่น แต่หางตายังจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าไร้อารมณ์ของไอซอท

นานราวสองนาทีที่ไอซอทไม่ได้พูดอะไรอีกเลย แต่กลับจ้องข้าอยู่นั่นล่ะ ข้าจึงทนไม่ไหวระเบิดเข้า!

“เจ้าต้องการอะไรกันแน่น่ะไอซอท! ข้าไม่มีเวลาว่างมานั่งเล่นกับเจ้าหรอกนะ!!”

วินาทีนั้น แววตาของไอซอทเริ่มเจือความเศร้า ข้าใจหายวูบ

“ข้าขอโทษ…”

เสียงนุ่มๆเอ่ยออกมาหลังจากที่เงียบไปนาน ก่อนเจ้าตัวจะเดินหนีหันหลังจากไปหลังจากที่พูดจบ

 

เย็นวันนั้นข้ากับไทรอนไปจัดการกับอมนุษย์ที่ออกมาเผ่นผ่านในเมืองลีฟบัดตามคำสั่งของครีอุส ไทรอนมีโล่ปราการที่สามารถปกป้องยามที่ข้ากำลังต่อสู้ได้ อมนุษย์ในคราวนี้ช่างแข็งแกร่งจริงๆ

“เฮฟเฟตัส…วันนี้เจ้าเป็นอะไร ทำไมถึงดูอ่อนแรงอย่างนี้ ย๊ากกก!”

ไทรอนหันมาตะโกนใส่ข้า ก่อนจะหันไปฟาดโล่เหล็กใส่อมนุษย์อีกตัว ตอนนั้นเองข้าเผลอพลาดพลั้งจนอมนุษย์ที่ใช้มือขนาดใหญ่ของมันฟาดเข้าตรงหน้าท้องของข้าจนจุกลงไปนั่งกองบนพื้น

ข้าเผลอนึกถึงเรื่องเมื่อตอนบ่ายขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้…

แค่ถ้อยคำสามคำที่เอ่ยออกมาจากปากของไอซอท กลับทำให้ข้าคลุ้มคลั่งขนาดนี้ มันเพราะอะไรกันนะ?

ไทรอนหันไปจัดการกับอมนุษย์ตัวสุดท้ายจนมันล้มลง ก่อนจะเดินเข้ามาพยุงข้า

บรรยากาศตอนนี้เงียบสนิทเมื่อศัตรูพลาดท่าจนหมดสิ้น ข้าเดินกระเผลกโดยมีไทรอนพยุงเอาไว้

“เจ้าไม่เป็นตัวของตัวเองเลย…”

ไทรอนเอ่ยออกมาหลังจากที่เงียบไปนาน ตอนนี้เราสองคนใกล้จะเดินถึงตำหนักเทพอัศวินแล้วล่ะ

“ขอโทษที ข้าปวดหัวนิดหน่อยน่ะ”

ไทรอนหยุดเดิน พลางจ้องมองข้าอย่างไม่เข้าใจ

“ไม่ยักรู้ว่าคนอย่างเจ้าจะมีเรื่องให้ปวดหัวด้วย”

ข้าพยักหน้าช้าๆ ก่อนจะเร่งให้ไทรอนเดินต่อไปเรื่อยๆจนมาถึงทางเข้าตำหนัก ที่มีคนพลุกพล่านมากกว่าปกติ

“เจ้าเป็นอย่างไรบ้างเฮฟเฟตัส ไทรอน…ขอให้องค์มหาเทพแห่งแสงสว่างจงคุ้มครองพวกเจ้า…ขอให้..”

“พอเถอะครีอุส เฮฟเฟตัสบาดเจ็บสาหัสพอดู เจ้าไม่ต้องพล่ามมากหรอก รีบรักษาให้เขาก่อนเถอะ” ไทรอนตัดบท

ครีอุสพยักหน้าก่อนจะช่วยพยุงแขนอีกข้างของข้า พวกเขาพาข้ามายังห้องนอนส่วนตัวของข้าในที่สุด

“เย็นป่านนี้แล้ว ที่ตำหนักมีอะไรเรอะ”

ข้าถอนหายใจพลางทิ้งตัวลงนอนบนเตียงเมื่อครีอุสรักษาบาดแผลของข้าเสร็จ

“องค์หญิงเล็กของเมืองข้างๆเสด็จมาน่ะ เห็นว่าจะมาขอบคุณไอซอทที่ช่วยนางไว้ในภารกิจคราวก่อน เจ้าไม่ได้ไปด้วยนี่นะ”

วินาทีนั้นจู่ๆข้าก็รู้สึกเจ็บแปลบตรงหัวใจขึ้นมา

“องค์หญิงเรอะ? แล้วไอซอทช่วยยังไง”

ครีอุสยัดพายบลูเบอรี่เข้าปากก่อนจะเคี้ยวเสียงดังไม่มีมารยาท

“ไอซอทช่วยนางจากพวกอมนุษย์น่ะ ข้าก็ไม่ค่อยรู้แน่ชัดหรอก ก็เทอร์มิสที่ไปด้วยไม่ยอมเล่าให้ข้าฟังเลยนี่นา!”

พูดถึงเทอร์มิสทีไร ครีอุสต้องแกล้งทำหน้าบูดเบี้ยวอยู่เรื่อย นั่นเขาเรียกว่างอนเรอะ

ข้าแสร้งทำเป็นไม่สนใจ ก่อนที่อาเดร์ รองหัวหน้าหน่วยเทพอัศวินครีอุสจะเข้ามา

“หัวหน้าครับ องค์หญิงต้องการพบหัวหน้าเทพอัศวินทั้งสิบสององค์น่ะครับ…เชิญหัวหน้าลงไปข้างล่าง..”

ครีอุสฉีกยิ้มน่าหมั่นไส้ก่อนจะเอ่ยว่า

“ได้สิ ข้าจะรีบไปเดี๋ยวนี้”

ว่าแล้วก็เดินออกจากห้องไปทันที ฝ่ายอาเดร์หันมาโค้งคำนับให้ข้า ก่อนจะค่อยเดินตามครีอุสไป แต่ข้าห้ามไว้เสียก่อน

“แล้วเจ้าไม่เชิญข้าหรืออาเดร์?”

อาเดร์มีสีหน้าลำบากใจ

“ข้าได้ยินมาว่าท่านหัวหน้าเทพอัศวินเฮฟเฟตัสได้รับบาดเจ็บสาหัส ข้าเลย…”

“ข้าจะไป…”

พูดจบข้าก็เดินลงจากเตียงและมุ่งหน้าไปยังท้องพระโรงทันที

 

ข้าเดินปึงปังตรงไปยังที่หมาย ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปอย่างแรง ทุกคนหันมามองข้าเป็นตาเดียว

“เฮฟเฟตัส ได้ยินว่าเจ้าบาดเจ็บ!?”

เคเรสเอ่ยออกมาก่อนใครเพื่อน ข้าไม่ได้สนใจเขา แต่คนที่ข้าหันไปมองมีเพียงไอซอทคนเดียว บัดนี้ไอซอทกำลังนั่งสนทนากับองค์หญิงคนสวยอยู่ ดูเหมือนว่านางจะสนใจไอซอทเป็นพิเศษด้วยซ้ำ ไม่งั้นนางไม่เรียกไอซอทไปคุยใกล้ขนาดนั้นหรอก

ข้าเดินมานั่งข้างไทรอนทันทีที่รู้สึกว่าตนมองพวกนั้นสองคนนานเกินไปแล้ว

“ยินดีที่ได้พบกันนะ ท่านหัวหน้าเทพอัศวินเฮฟเฟตัส..”

เสียงหวานเจื้อยแจ้วเอ่ยออกมา ข้าลุกขึ้นยืนโค้งคำนับให้อย่างไม่เต็มใจ ก่อนจะกระแทกเก้าอี้นั่งลงตามเดิม

“..เพราะฉะนั้นข้าถึงต้องมาที่นี่ด้วยตัวเอง ท่านพ่ออยากพบท่านมากนะ ท่านหัวหน้าเทพอัศวินไอซอท..”

ข้าเหลือบไปมองไอซอทที่ยังปั้นยิ้มอยู่

เฮอะ! ไหนว่าคุยกับใครไม่เก่งไง!!

“..พอดีว่าช่วงนี้ข้ามีภารกิจต้องออกไปด้านนอกกับหัวหน้าเทพอัศวินครีอุส ข้ามิได้ต้องการจะ…”

“ไม่เป็นไร! ไอซอทที่รัก ข้ามีไทรอนกับเฮฟเฟตัสไปด้วยแล้ว เจ้าเดินทางไปกับองค์หญิงเถิด”

ครีอุสสะบัดผมก่อนจะเอ่ยเป็นงานเป็นการ ข้าถอนหายใจเสียงดังจนเทมเพสและไทรอนที่นั่งข้างๆได้ยินเข้า

“..เจ้าบาดเจ็บก็กลับไปพักผ่อนซะสิ ไม่ต้องอดทนหรอก”

ไทรอนกระซิบใส่หูข้า ข้ายักไหล่อย่างไม่สนใจ

“ช่างข้าเถอะ ข้าหายดีแล้ว!”

ข้าตอบกลับไปเบาๆ

และหลังจากนั้นบทสนทนาขององค์หญิงก็เป็นเรื่องที่ไอซอทช่วยนางจากเหล่าอมนุษย์ รวมทั้งขอบคุณเหล่าเทพอัศวินทุกคนด้วยถ้อยคำวกไปวนมาอย่างยาวนาน โดยมีไอซอทนั่งพยักหน้าหงิกๆเป็นระยะๆ

“..ท่านพ่ออยากพบท่านมากจริงๆ ท่านต้องเสด็จไปให้ได้นะเพคะ..”

ก่อนจะทิ้งท้ายด้วยคำพูดเลี่ยนหูจนเทมเพสแอบสบถเบาๆว่าอิจฉาไอซอทสุดๆ ข้านั่งเอามือกอดอกฟังเป็นเวลานานก็เริ่มทนไม่ไหว ลุกขึ้นยืนทันทีจนเก้าอี้ล้มลงดังตึง!

ทุกคนมองข้าเป็นตาเดียว

“ผีเข้ารึ? ทำไมเจ้าถึงอยู่ไม่นิ่งเลย” เทมเพสกระซิบ ข้าเม้มปากแน่น ไม่สนใจคำพูดเขา

“..พอดีข้านึกขึ้นได้ว่ายังมีงานเอกสารที่จะต้องสะสางก่อนวันพรุ่งนี้ ข้ารีบกลับก่อนละ ลาก่อนองค์หญิง ขออภัยที่อยู่ร่วมสนทนาจนจบมิได้…”

ข้าเอ่ยแค่นเสียง ก่อนจะผลุนผลันออกจากห้องไป

เมื่อกลับถึงห้อง ข้ากระแทกประตูปิดลงอย่างแรง ก่อนจะวิ่งขึ้นไปนอนบนเตียง ซุกหน้าลงกับหมอนใบใหญ่ทันที

ปกติไอซอทเป็นคนเงียบๆและเยือกเย็น เขาแทบไม่ได้คุยกับข้าด้วยประโยคยาวๆเลยสักครั้ง รวมทั้งเรื่องเมื่อตอนบ่ายด้วย กะอีแค่เขาไปช่วยองค์หญิงจากพวกอมนุษย์ตัวกระจ้อยร่อยแค่นั้น อุตส่ามาขอบคุณถึงที่นี่ แถมเจ้าตัวยังนั่งนิ่งไปยอมเดินหนีเหมือนทุกครั้งอีกต่างหาก

เจ้าทำแบบนี้หมายความว่ายังไง!?

แล้วเรื่องเมื่อตอนบ่ายล่ะ!

เจ้า…เจ้าลืมไปแล้วเหรอ..?

คิดได้ดังนั้น น้ำตาก็เอ่อล้น ก่อนจะหยดแหมะลงบนหมอนจนเปียกชุ่ม ก่อนที่สติข้าจะเริ่มเลือน…

 

.

.

.

.

.

.

.

 

 

 

“ข้ารักเจ้า….”

ข้านิ่งค้างอยู่อย่างนั้น เมื่อใบหน้าเยือกเย็นของใครบางคนเอ่ยต่อหน้าข้า

ใบหน้าเยือกเย็นที่เคยมี บัดนี้กลับกลายเป็นใบหน้าที่ดูใจดีและอบอุ่นจนข้าเผลอไผลมอง ข้าเอื้อมมือไปข้างหน้าไอซอทเพื่อต้องการจะสัมผัสใบหน้าของเขา ก่อนที่เขาจะยิ้มและกุมมือของข้าเอาไว้แน่น

ไอซอทกุมมือข้าเอาไว้ชั่วครู่ก็ยกมือข้าขึ้นไปแตะใบหน้าเขา

รู้สึกร้อนผ่าวบริเวณแก้มอย่างไม่ทราบสาเหตุ

“เฮฟเฟตัส…เจ้าเชื่อข้าแล้วเหรอ?”

ข้าเม้มปากแน่น แต่ยังคงจ้องมองใบหน้าอบอุ่นนั่นอย่างมีความสุข

“ไม่..ข้าไม่เชื่อหรอก..”

น่าแปลกที่น้ำเสียงของข้ากลับดูอ่อนลงมาก ไม่ได้แข็งกระด่างเหมือนเมื่อตอนบ่าย

ท่าทีของอีกฝ่ายเมื่อได้ยินข้าปฏิเสธ ยังคงเป็นเหมือนเดิม ก่อนที่ไอซอทค่อยบรรจงจุมพิตแผ่วเบาลงบนหลังมือของข้า ข้าชักมันกลับอย่างรวดเร็ว

“เจ้า…เจ้ามัน…”

“เจ้าบาดเจ็บหนัก เพราะฉะนั้นพักผ่อนเถอะ”

เมื่อร่างสูงพูดจบก็ลุกขึ้นยืนและหมุนตัวจะเดินออกจากห้อง

“เดี๋ยว..ไอซอท!”

ถ้านี่เป็นความฝัน..ขอให้ข้า…ขอให้เขาอยู่ข้างกายข้าด้วยเถอะ…ถึงแม้จะเป็นไปได้แค่ในความฝัน ข้าไม่ได้ฝันดีแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ..องค์มหาเทพแห่งแสงสว่างเป็นพยาน..ขอให้ข้าฝันแบบนี้ตลอดไปด้วยเถอะ ขอให้ในฝันของข้ามีไอซอทที่ยิ้มและอยู่เคียงข้างข้าแบบนี้ตลอดไปด้วยเถิด ….

น้ำตาไหลอาบแก้มทั้งสองข้างของข้า

“ขอเพียงแค่ในความฝัน…ถึงในความเป็นจริงเจ้าจะต้องดูแลองค์หญิงองค์นั้นตลอดไป ถึงในความเป็นจริงข้าจะไม่มีเจ้าอยู่เคียงข้างข้า ไม่มีมืออบอุ่นที่คอยกุมมือข้าทุกวัน ไม่มีดวงตาอบอุ่นที่ทอดมองข้าตลอดเวลา ถึงในความเป็นจริงจะไม่มีเจ้าอยู่ แต่ข้าขอแค่นั้น…ขอให้เจ้าอยู่กับข้าตลอดไป…อยู่เคียงข้างข้าตลอดไป แค่ในความฝัน…..ฮึก..ไอซอท…”

ไอซอทชะงักฝีเท้า ก่อนจะหันมายิ้มให้ข้าอีกครั้ง แต่ข้ามองไม่ชัด เพราะบัดนี้ในดวงตาข้ามันเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา ไอซอทเดินมานั่งข้างเตียงข้า มือใหญ่เกลี่ยน้ำตาบนแก้มข้าออกไปจนเกลี้ยง ก่อนจะก้มลงจุมพิตข้าแผ่วเบาบนหน้าผาก

ข้าพึมพัมแผ่วเบาอย่างมีความสุข

“ฝันดีจัง….”

ก่อนที่มือของเขาจะค่อยๆสัมผัสแก้มข้าแผ่วเบา…มือใหญ่ที่ปกติมักจะสวมถุงมือสีขาวเป็นประจำ บัดนี้ถูกปลดออก มือเปลือยเปล่าสีขาวจัดค่อยๆสัมผัสแก้มข้าแผ่วเบาจนข้ารู้สึกจักจี๋ ข้าจับมือนั้นเอาไว้ไม่ให้ไปไหน แล้วหลับตาพริ้มอย่างมีความสุข

ก่อนที่ไอซอทจะกระซิบข้างหูข้าว่า…

“ไม่ใช่ความฝันสักหน่อย…..”

“หือ?”

ข้าเปิดเปลือกตาขึ้นช้าๆ เหลียวมองไปรอบตัว ก็พบว่าตัวข้านอนอยู่บนเตียงของตัวเอง มีไอซอทนั่งบนขอบเตียง มือของเขายังถูกข้ากุมเอาไว้ เมื่อทุกอย่างกลับเป็นปกติ โต๊ะเก้าอี้ทุกอย่างปรากฏเด่นชัดในสายตาข้า ข้าเผลอปล่อยมือไอซอทอย่างรวดเร็ว และลุกขึ้นนั่งทันที

“เจ้า…นี่เจ้าเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่!”

ไอซอทยิ้มก่อนจะเอ่ย

“ข้าวิ่งตามเจ้ามาน่ะ ตะกี้เจ้างอนข้าแล้ววิ่งออกมาจากท้องพระโรงนี่”

“เจ้าว่าไงนะ!? เจ้าวิ่งตามข้ามา…แล้ว..”

“ข้าก็เห็นเจ้านอนอยู่บนเตียง ข้าเลยเข้ามาใกล้เจ้า…แล้วก็อดจะสัมผัสแก้มเจ้าไม่ได้…แล้วข้า..”

“พอๆ พอแล้ว”

ข้าตะคอกก่อนจะจับแก้มตัวเองเหมือนไม่อยากจะเชื่อ

มันไม่ใช่ความฝันเหรอ…ไอซอทตามข้ามาในห้อง เขาวิ่งตามข้าเข้ามา..แล้วเขาก็อยู่เคียงข้างข้ามาตลอดจนบัดนี้เลยเหรอ เป็นไปได้ยังไง!?

“แต่เจ้า..เจ้าจะต้องดูแลองค์หญิงคนนั้น เจ้าไม่น่าจะ…”

ข้าตะโกนเสียงดัง ไอซอทยิ้มละไม

“ข้ายังไม่ได้พูดเลยว่าข้าจะอยู่ดูแลองค์หญิง…”

ถึงไอซอทจะพูดมากกว่าปกติในวันนี้ แต่เขาก็ยังถามคำตอบคำอยู่ดี

“ไม่รู้ล่ะ อีกเดี๋ยวจะต้องเดินทางแล้วนี่ รีบไปเตรียมตัวเถอะ อย่ามายุ่งกับข้า…”

“เจ้าเพิ่งบอกให้ข้าอยู่เคียงข้างเจ้าเองนะ นี่เจ้าจะไล่ข้าไปอีกแล้วเหรอ?”

น้ำเสียงของไอซอทตัดพ้อ นัยน์ตาสีฟ้าเจือไปด้วยความเศร้า ฉับพลันนั้นข้าใจหายวูบ น้ำตาปริ่มอีกแล้ว มันทำให้ข้ามองไอซอทไม่ชัดเลย ข้าใช้หลังมือปาดน้ำตาออก ก่อนจะเงยหน้ามองไอซอทอีกครั้ง

ชั่วเสี้ยววินาทีที่ข้าเช็ดน้ำตา ไอซอทก็สวมกอดข้าไว้หลวมๆ ข้าดิ้นขลุกขลักไปมาหลายครั้ง แต่ไอซอทก็ยังไม่ยอมปล่อย ข้าถึงยอมให้อีกฝ่ายถือวิสาสะกอดข้าอยู่อย่างนั้น

“ไม่ว่าจะเป็นความฝันหรือในโลกแห่งความเป็นจริง…อิชลานคนนี้ขอสาบานต่อทวยเทพทั้งปวง ว่าจะอยู่เคียงข้างเจ้าตลอดไป อยู่เคียงข้างชาคส์คนที่ข้ารักตลอดไป…”

เสียงนุ่มเอ่ยอยู่ข้างหูข้า ข้าเขินจนทำอะไรไม่ถูก เมื่ออีกฝ่ายโน้มหน้าเข้ามาใกล้ แล้วบรรจงจุมพิตลงบนริมฝีปากข้าแผ่วเบา…แต่เนิ่นนาน……

.

.

.

.

.

.

.

.

 

ข้ารักเจ้า….ข้ารักเจ้า…

 

เป็นคำสามคำที่ข้าจะได้ยินทุกครั้งยามตื่น ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน อิชลานคนนั้นยังคงอยู่เคียงข้างข้า ถึงแม้เราจะเกษียนอายุไปแล้ว แต่ข้าก็ยังได้ยินคำบอกรักของเขาทุกวัน….

ขอแค่เขายังอยู่เคียงข้างข้า ถึงจะไม่ได้บอกรักทุกวัน ข้าก็ยินดี ข้ายินดีที่จะอยู่เคียงข้างเขาไปตลอดกาล…

 

…ข้าก็รักเจ้า..อิชลาน…

 

 

———————————————————————————————-

THE END

Talk : เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่แต่งให้กับ LSK ทั้งๆที่คู่ที่ชอบมากที่สุดคือ เทอร์มิสxครีอุส แต่พออ่านเล่ม 4 และขุดค้นหาภาพในเรื่องมานั่งดู ก็ดันไปเจอภาพคู่นี้เข้า ไม่รู้มีคนชอบกันไหม แต่เราชอบนะ เฮฟเฟตัสจะออกแนวมุทะลุหน่อยๆ แต่ไอซอทจะใจเย็น เยือกเย็น ไม่รู้ทำไมเราชอบคู่ที่มันต่างกันสุดขั้ว แต่ดันมารักกันได้  ยังไงก็อ่านแล้วติชมด้วยนะคะ แล้วก็ภาษาในเรื่องรวมทั้งการบรรยายสถานที่ในเรื่องยังดูขัดๆอยู่บ้าง ผิดพลาดตรงไหนขออภัยด้วยแล้วกัน ;D